“อธ.อัยการคดีปราบทุจริตฯ” พร้อมตั้งคณะทำงานดูสำนวน 6 ลังใหญ่คดีอดีตพระเถระชั้นใหญ่แล้ว ลุ้นสั่งคดีทันฝากขังสุดท้าย 15 ส.ค.นี้

0
1144

สำนักข่าว thairnews – วันนี้ (3 ส.ค.61) เมื่อเวลา 13.00 น.เศษ ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี พนักงานสอบสวนกองปราบปราม ได้ควบคุมตัว นายเจษฎา วงศ์เมฆ ฉายาลุงทอง อายุ 57 ปี ชาวนครศรีธรรมราช นักธุรกิจรับเหมาและเจ้าของร้านจำหน่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ กล้องวงจรปิด กล้องติดรถยนต์ฯ ใน จ.นครศรีธรรมราช และเซียนพระ ผู้ต้องหาคดีเงินทอนวัดล็อตที่ 3 ตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางที่ 102/2561 ลงวันที่ 1 ส.ค.2561ในความผิดฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือโดยทุจริตและสนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 , 147 ประกอบมาตรา 86 มายื่นคำร้องฝากขังครั้งแรกต่อศาลเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 3-14 ส.ค.นี้ เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ต้องสอบพยานเพิ่มเติมอีก 10-15 ปาก รอผลการตรวจลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องหาจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และพยานหลักฐานอื่นๆ พร้อมคัดค้านการประกันตัวด้วยเนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง เกรงว่าหากปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาอาจหลบหนีหรือยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน

โดยพฤติการณ์ของนายเจษฎา ผู้ต้องหานี้ถูกกล่าวหาร่วมทุจริตจัดสรรเงินงบประมาณสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) หรือเงินทอนวัด โดยผู้ต้องหาจะเข้าไปตีสนิทกับทางเจ้าอาวาสวัดต่างๆ ในจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อขอให้บริษัทตัวเองได้รับงานซ่อมแซมบูรณะวัด โดยตกลงกับทางวัดว่าจะแบ่งเงินเปอร์เซ็นต์ให้ จากนั้นก็ให้วัดทำหนังสือขอรับงบประมาณสนับสนุนจากพศ. วัดละ 3 ล้านบาท กระทั่งงานเสร็จแล้วก็ได้แบ่งเงินให้วัดดังกล่าว ซึ่งชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาซึ่งศาลพิจารณาคำร้องและเหตุจำเป็นการขอฝากขังแล้ว ก็อนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาได้เป็นเวลา 12 วัน

ต่อมาญาติของนายเจษฎา ผู้ต้องหา ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 600,000 บาทขอปล่อยชั่วคราวชั้นฝากขังนี้ กระทั่งเวลา 17.00 น. ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัว โดยศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีมีอัตราโทษสูง ประกอบกับตามพฤติการณ์แห่งคดีการกระทำความผิดที่ถูกกล่าวหามีลักษณะเป็นขบวนการโดยแบ่งหน้าที่กันทำและเป็นการทุจริตต่อเงินงบประมาณของแผ่นดิน ทำให้รัฐต้องเสียหายเป็นเงินจำนวนมาก อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อพระพุทธศาสนา และพนักงานสอบสวนคัดค้านการปล่อยชั่วคราวด้วย ดังนั้นหากปล่อยชั่วคราวเชื่อว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีหรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ศาลจึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ให้ยกคำร้องขอประกันตัวผู้ต้องหา  โดยเมื่อศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวแล้ว เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ จึงได้ควบคุมตัว “นายเจษฎา” ผู้ต้องหาไปคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ระหว่างฝากขัง

ส่วนกรณีที่ล่าสุด พนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนการสอบสวนพร้อมพยานหลักฐานกล่าวหาอดีตพระชั้นผู้ใหญ่ให้อัยการพิจารณาสั่งคดีแล้วนั้น มีรายงานจากสำนักงานอัยการสูงสุดแจ้งว่า หลังจากพนักงานสอบสวนส่งสำนวนหลักฐาน นายวิเชียร ถนอมพิชัย อธิบดีอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต จำนวนมาก รวม 6 ลังใหญ่แล้วเมื่อวานที่ผ่านมา (2 ส.ค.) ขณะนี้มีการเตรียมตั้งคณะทำงานอัยการเพื่อพิจารณาสำนวนและเอกสารหลักฐานทั้งหมดเพื่อทำความเห็นคดีว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง ให้ทันภายในกำหนดการฝากขังครั้งสุดท้ายครั้งที่ 7 กลางเดือน ส.ค.นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับพฤติการณ์ร่วมทุจริตเงินทอนวัด ซึ่งเป็นที่มาการดำเนินคดีเจ้าหน้าที่ พศ. กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่โดยการทุจริต อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147,157,162 ขณะนี้รวม 8 ราย ประกอบด้วย นายพนม ศรศิลป์ อดีต ผอ.พศ. ปัจจุบันเป็นผู้ตรวจราชการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี , นายแก้ว ชิดตะขบ อดีตนักวิชาการศาสนา กองพุทธศาสนศึกษา (ปัจจุบันเป็น ผอ.พศจ.อ่างทอง), นายณรงค์เดช ชัยเนตร อดีต ผอ.กองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา พศ. (ปัจจุบันเป็น ผอ.พศจ.สิงห์บุรี), นายวสวัสดิ์ กิตติธีระสิทธิ์ อดีต ผอ.ส่วนบูรณะพัฒนาวัดและการศาสนสงเคราะห์ พศ., นายบุญเลิศ โสภา อดีต ผอ.กองพุทธศาสนศึกษา พศจ.ลำปาง (ปัจจุบันเป็น ผอ.พศจ.กาญจนบุรี), นายชยพล พงษ์สีดา อดีตรอง ผอ.พศ., นายพัฒนา สุอำมาตย์มนตรี อดีตนักวิชาการศาสนา กองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา พศจ.นครปฐม และนางพรเพ็ญ กิตติธรางกูร อดีตนักวิชาการศาสนาชำนาญการ พศ. (ปัจจุบันเป็น ผอ.กลุ่มการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญ พศ.)

โดยอดีตพระชั้นผู้ใหญ่ทั้งวัดสระเกศ และวัดสามพระยา อีก 7 ราย  ซึ่งพฤติการณ์ถูกกล่าวหาร่วมกันฟอกเงินทุจริตเงินโครงการศูนย์กลางเผยแพร่พระพุทธศาสนา และโครงการของสำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงฯ ของวัดสระเกศ 63,700,000 บาท และเงินอุดหนุนการศึกษา โรงเรียนพระปริยัติธรรม ตั้งแต่ปี 2557 กว่า 150 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.นายธงชัย สุขโข “อดีตพระพรหมสิทธิ หรือธงชัย สุขญาโณ” อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร (ครบฝากขังครั้งสุดท้าย 21 ส.ค.นี้) 2.นายสังคม สังฆะพัฒน์ “อดีตพระเมธีสุทธิกรและอดีตพระราชอุปเสณาภรณ์” อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ (ครบฝากขังครั้งสุดท้าย 21 ส.ค.นี้)  3.นายบุญทวี คำมา “อดีตพระศรีคุณาภรณ์” อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ 4.นายสมจิตร จันทร์ศรี “อดีตพระครูสิริวิหารการ” อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ  5.นายเทอด วงศ์ชอุ่ม “อดีตพระวิจิตรธรรมาภรณ์หรือเจ้าคุณเทอด” อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ  6.นายเอื้อน กลิ่นสาลี “อดีตพระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม)” อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา อดีตกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และอดีตเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร 7.นายสมทรง อรรถกฤษณ์ “อดีตพระอรรถกิจโสภณ” อดีตเลขาเจ้าคณะกรุงเทพ วัดสระสามพระยา (ครบฝากขังครั้งสุดท้าย 15 ส.ค.นี้)

พร้อมกลุ่มฆราวาสที่ร่วมฟอกเงินทุจริต อีก 4 ราย คือ 1.“น.ส.ฑัมม์พร นิพนธ์พิทยา” มารดาของ ร.ท.ฐิติทัศน์ 2.น.ส.นุชรา สิทธินอก แม่บ้านร่วมรับโอนเงิน 25 ล้านบาท 3.นายธีระพงษ์ พันธุ์ศรี 4.นายทวิช สังข์อยู่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ บริษัท ดีดีทวีคูณ ที่รับผลิตสื่อให้กับวัดสระเกศ (ครบฝากขังครั้งสุดท้าย 15 ส.ค.นี้)  โดยผู้ต้องหาทั้งหมด ทั้งเจ้าหน้าที่ พศ. , อดีตพระ และฆราวาสข้างต้น รวมทั้งหมด 20 ราย ก็ถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และทัณฑสถานหญิงกลาง ซึ่งศาลไม่ให้ประกัน ด้วยเหตุผลทำนองเดียวกันว่า คดีมีอัตราโทษสูง พฤติการณ์การกระทำความผิดมีผลกระทบต่อพุทธศาสนาและมีลักษณะเป็นขบวนการ โดยมีการแบ่งหน้าที่ยักย้ายเงินที่ได้มาผ่านทางธนาคาร จึงต้องมีเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอยู่ในความครอบครองของผู้ต้องหากับพวก หากให้ปล่อยชั่วคราวแล้วเชื่อว่าผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงาน ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้าน จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ให้ยกคำร้อง

ขณะที่ความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินการทุจริตนั้น ที่ผ่านมามีการฟ้องคดีเข้าสู่ศาลอาญาคดีทุจริตฯ กลาง แล้วเพียง 1 สำนวน คือ  “พระครูกิตติพัชรคุณ”หรือนายสมเกียรติ ขันทอง เจ้าคณะอำเภอชนแดน จ.เพชรบูรณ์ และเจ้าอาวาสวัดลาดแค ที่อัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต ยื่นฟ้องคดีเมื่อวันที่ 22 ก.พ.61 ที่ผ่านมา เป็นคดีดำหมายเลข อท.38/2561 กรณีที่ร่วมกัน กับ “นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์” อดีต ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือ พศ. อายุ 59 ปี (ยังหลบหนีคดี) สมคบฟอกเงินทอนวัดต่างๆในเขต จ.เพรชบูรณ์ , นครสวรรค์ ,  ตากและชุมพร ราว 28 ล้านบาท ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 โดยชั้นฝากขัง “พระครูกิตติพัชรคุณ” ไม่ได้รับการประกันตัว แต่ก็เพิ่งจะได้ประกันตัวชั้นพิจารณาคดี ด้วยหลักทรัพย์ที่ศาลตีราคาประกัน 1.5 ล้านบาท โดยมีการกำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักรด้วย เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล และให้เก็บรักษาหนังสือเดินทางของจำเลยไว้ด้วย ซึ่งคดีอยู่ระหว่างการรอไต่สวนพยานในชั้นศาล