“นายกฯไวยาวัจกร” – ชาวบ้านวัดจันทร์ในยื่นหนังสือถึง ผอ.พศ. ตั้งทนายจัดการผลประโยชน์แทนเจ้าอาวาสชอบด้วยกม.หรือไม่

0
48

นายกสมาคมไวยาวัจกรแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยชาวบ้านรอบวัดจันทร์ใน เข้ายื่นหนังสือถึงผอ.พศ.ให้ตรวจสอบการกระทำของเจ้าอาวาสวัดจันทร์ใน มีการแต่งตั้งมูลนิธิทนายกองทัพธรรม จัดสรรผลประโยชน์ทำงานแทนเจ้าอาวาสชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  พร้อมตั้งคำถามการขับไล่พระลูกวัด 12 รูป โดยชอบหรือไม่ พร้อมท้าทายประธานมูลนิธิฟ้องฯ กรณีไม่เคยมีการสอบสวนความผิด ชาวบ้านให้ความเห็น 4 ปีแล้วเจ้าอาวาสปกครองพระไม่ได้ สมควรลาออกจากตำแหน่ง

เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 67 ที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม นายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร นายกสมาคมไวยาวัจกรแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยทีมทนายความ และชาวบ้านบริเวณโดยรอบวัดจันทร์ใน  เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานครได้เข้ายื่นหนังสือให้มีการดำเนินการตรวจสอบการกระทำของเจ้าอาวาสวัดจันทร์ใน ต่อนายอินทพร จั่นเอี่ยม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (ผอ.พศ.)โดยมี นางสาวชุติญา แก้วมณี รองผอ.พศ. เป็นผู้รับหนังสือดังกล่าว

นายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร นายกสมาคมไวยาวัจกรแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในการเดินทางมาพร้อมกับชาวบ้านบริเวณพื้นที่โดยรอบวัดจันทร์ใน สืบเนื่องจากกรณีความขัดแย้งระหว่าง พระครูโสภณกิจจานุกิจ เจ้าอาวาสวัดจันทร์ใน และพระลูกวัดจำนวน 12 รูป ซึ่งมีการขัดแย้งเป็นการภายในมาหลายปี กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ได้ปรากฏว่า พระครูโสภณกิจจานุกิจ เจ้าอาวาสวัดจันทร์ในได้มีการมอบอำนาจให้มูลนิธิทนายกองทัพธรรม โดยนายอนันตชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิฯ ให้จัดผลประโยชน์ภายในวัด รวมทั้งให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวดำเนินการ จัดการ ให้คำปรึกษาในการบริหารจัดการวัดจันทร์ใน ซึ่งมีรายงานมอบให้กับผอ.พศ. เพื่อขอให้แจ้งไปยังเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบว่าด้วยพระธรรมวินัย และพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ รวมทั้งกฎ ระเบียบของคณะสงฆ์ต่างๆ หรือไม่ โดยขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวยข้อเท็จจริงในประเด็น ดังต่อไปนี้

1.พระครูโสภณกิจจานุกิจ เจ้าอาวาสวัดจันทร์ใน ทำหนังสือมอบอำนาจให้มูลนิธิทนายกองทัพธรรมโดยนายอนนต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิและคณะ ให้จัดการผลประโยชน์ภายในวัดจันทร์ใน รวมทั้งจัดการเรื่องต่างๆ ภายในวัดจันทร์ใน เป็นการกระทำที่ชอบด้วยพระธรรมวินัย พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 รวมทั้งกฎระเบียบต่างๆ หรือไม่ ประการใด

2.การกระทำของพระครูโสภณกิจจานุกิจที่ร่วมกับมูลนิธิทนายกองทัพธรรมโดยนายอนันต์ชัย ไชยเดชและคณะ ทำหนังสือไล่พระสงฆ์ จำนวน 12 รูป ออกจากวัดจันทร์ใน โดยนายอนันต์ชัย เป็นผู้ขอให้พระครูโสภณกิจจานุกิจ เจ้าอาวาสวัดจันทร์ในลงนามในประกาศคำสั่งดังกล่าว และนายอนันต์ชัย เป็นผู้อ่านประกาศคำสั่งดังกล่าวต่อหน้าสื่อสารมวลชนและสื่อออนไลน์ต่างๆ เผยแพร่ไปทั่วประเทศ การกระทำดังกล่าวชอบด้วยพระธรรมวินัย และพ.ร.บ.คณะสงฆ์ รวมทั้งกฎระเบียบต่างๆ หรือไม่

  1. การกระทำของพระครูโสภณกิจจานุกิจ เจ้าอาวาสวัดจันทร์ใน โดยการทำหนังสือประกาศคำสั่งขับไล่พระลูกวัดจันทร์ใน จำนวน 12 รูป ให้ออกจากวัดภายในกำหนด 2 วันตามข้อ 2.ไม่ปรากฏว่าพระลูกวัดจันทร์ใน จำนวน 12 รูป ได้กระทำความผิดในเรื่องใด และไม่มีการสอบสวนความผิดก่อน หากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของเจ้าคณะผู้ปกครองเห็นว่าพระครูโสภณกิจจานุกิจ เจ้าอาวาสวัดจันทร์ในกระทำไปโดยมิชอบ และไม่ปรากฏว่าพระลูกวัดจันทร์ใน จำนวน 12 รูป ได้กระทำความผิดในเรื่องใด ขอให้เจ้าคณะผู้ปกครองให้ความเป็นธรรมกับพระลูกวัดฯ โดยการเพิกถอนประกาศคำสั่งขับไล่พระลูกวัด จำนวน 12 รูปด้วย
  2. การกระทำของพระครูโสภณกิจจานุกิจ เจ้าอาวาสวัดจันทร์ในตาม ข้อ 1 และ 2 ผู้ปกครองคณะสงฆ์ เช่น เจ้าคณะแขวง เขต 1 และเจ้าคณะเขตบางคอแหลม รวมทั้งเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ได้ทราบเรื่องดังกล่าวหรือไม่ และพระครูโสภณกิจจานุกิจ เจ้าอาวาสวัดจันทร์ในมีอำนาจทำหนังสือประกาศไล่พระสงฆ์ จำนวน 12 รูป ออกจากวัดจันทร์ในโดยไม่มีการสอบสวนความผิดก่อน ชอบด้วยพระธรรมวินัย พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ รวมทั้งกฎระเบียบต่างๆ หรือไม่
  3. นอกจากนั้นบรรดาข้าพเจ้าทราบว่ามีเจ้าอาวาสหลายวัดได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้มูลนิธิทนายกรองทัพธรรมโดยนายอนันต์ชัย ไชยเดช เป็นผู้มีอำนาจบริหารจัดการผลประโยชน์ของวัดต่างๆ หากการกระทำดังกล่าวเป็นการไม่ชองด้วยพระธรรมวินัย และพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ รวมทั้งกฎระเบียบต่างๆ ขอให้พศ.ดำเนินการแจ้งให้เจ้าคณะผู้ปกครองวัดต่างๆ ทั่วประเทศทราบด้วย

ด้านนางสาวชุติญา แก้วมณี รองผอ.พศ. กล่าวว่า ในการรับหนังสือในวันนี้ก็เพื่อนำไปตรวจสอบว่าเรื่องที่ร้องเข้ามามีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ในสองเรื่องที่แจ้งเข้ามาในวันนี้ก็แยกออกเป็นสองกอง ตามอำนาจหน้าที่ของเราก็คือ เรื่องของศาสนสมบัติ เป็นไปในเรื่องของการจัดดูแลผลประโยชน์ การมอบอำนาจก็จะมีในส่วนที่เจ้าอาวาสได้มอบให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจัดได้ กับที่เจ้าอาวาสจะสามารถจัดเองได้ ก็เป็นไปตามกฎกระทรวงของการจัดการดูแลศาสนสมบัติกลาง พ.ศ.2564 ส่วนในเรื่องที่สองก็เป็นในเรื่องของส่วนคณะสงฆ์ พศ.ก็จะรับหนังสือไปตรวจสอบข้อเท็จจริงแต่จะต้องมีการส่งไปที่เจ้าคณะปกครองชั้นสูงนั่นก็คือเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ผลเป็นอย่างไรก็จะได้แจ้งไปเป็นหนังสือกลับไป

นายศุภภัทร์พจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนในวันนี้สืบเนื่องจากการที่มูลนิธิทนายกองทัพธรรม นำโดยนายอนันตชัย ไชยเดชประธานมูลนิธิฯ ได้ รับมอบอำนาจในการเข้าดูแลจัดการภายในวัดซึ่งในอำนาจหน้าที่ตนเองเห็นว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ซึ่งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็มีกองพุทธศาสนาสมบัติ ที่จะเข้ามาดูแลดำเนินการอยู่แล้ว การที่เจ้าอาวาสได้มีการมอบอำนาจให้คนนอกไปดูแลซึ่งไม่น่าจะเคยปรากฏมาก่อนและก็ไม่สามารถทำได้ ซึ่งที่ผ่านมาเจ้าอาวาสวัดต่างๆได้มอบอำนาจให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้เข้าไปทำหน้าที่ในการบริหารจัดการจัดการต่างๆ ซึ่งมันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าหากจะบอกว่าจะให้สำนักงานพระพุทธศาสนาเข้ามาดูแลจัดการก็ไม่สามารถจะทำให้เรื่องจบได้ ก็เป็นเพราะไม่เคยมีการประสานงานเข้ามาให้หน่วยงานทางราชการเข้าไปดูแล

“ขอยืนยันว่าเจ้าอาวาสทั่วประเทศที่เคยมีการลงนามมอบอำนาจให้คนนอกมาดูแลบริหารจัดการในวัด ก็ไม่สามารถทำได้เพราะสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานพระพุทธศาสนาประจำจังหวัด(พศจ.) ก็มีหน่วยงานที่จะเข้ามาดูแลและประสานงานประสานงานโดยมีนิติกรเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรงอยู่แล้ว แต่หากจะให้มอบอำนาจในการลงนามในการดำเนินการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างนั้นทำได้ แต่การมอบอำนาจให้จัดการดูแลผลประโยชน์ของวัดทำไม่ได้ผมขอยืนยัน” นายศุภภัทร์พจน์ กล่าว

นายศุภภัทร์พจน์ กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องกรณีที่สองคือเรื่องการที่เจ้าอาวาสวัดจันทร์ในได้มีการลงนามขับไล่พระทั้ง 12 รูปออกจากวัดทั้งที่ยังไม่กระทำความผิดก็ไม่สามารถทำได้ และท่านเองก็ไม่เคยทำการสอบสวนมาก่อนหรือมีหนังสือชี้แจงไปยังเจ้าคณะปกครองทั้งเจ้าคณะแขวง เจ้าคณะเขตให้ทราบเรื่องมาก่อน แต่กลับมีการไลฟ์สดออกทางโซเชียลโดยปรากฏว่ามีนายอนันตชัย ไชยเดช นายประยุทธ์ ทนายความ และเจ้าอาวาสวัดจันทร์ใน ได้มีการไลฟ์ลงนามในการขับไล่พระทั้ง 12 รูป ออกจากวัดจันทร์ใน โดยนายอนันตชัยได้บอกให้ท่านเจ้าอาวาสเซ็นหนังสือขับไล่พระในช่วงไลฟ์สด ซึ่งไม่เคยเกิดเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งผมยืนยันว่าทำไม่ได้ แน่จริงให้นายอนันตชัย ฟ้องร้องผมมาได้เลย เพราะผมยืนยันว่าทำไม่ได้ เนื่องจากอำนาจของเจ้าอาวาสโดยตรง และเจ้าอาวาสต้องมีการสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องของการกระทำความผิดก่อน หากพบความผิดต้องมีกระบวนการลงโทษตามลำดับขั้นตอน และต้องมีการแจ้งความผิดไปยังพระแต่ละรูปไม่ใช่เหมาเข่งแบบนี้ ซึ่งมีการปรากฏในคำสั่งว่ามีการใช้โซเชียลโจมตี แต่พระครึ่งหนึ่งในนั้นเล่นโซเชียลไม่เป็น ซึ่งฝากถึงท่านเจ้าอาวาสทั่วประเทศด้วยว่าไม่สามารถทำได้

“ผมอยากจะฝากถึงทนายอนันตชัย ท่านเองก็เป็นนักกฎหมายและคนที่นั่งอยู่ข้างท่านก็เป็นคนที่เคยบวชมาเช่นเดียวกันเหมือนกับผม มีอะไร ก็ควรจะถามนักบวชเก่าของท่านว่าอะไรทำได้หรือทำไม่ได้ และเวลาดำเนินการควรใช้ธรรมะนำหน้าอย่าใช้กฎหมายนำหน้า เช่นการไปไล่ฟ้องพระแบบนี้สำหรับผมไม่เห็นด้วยและถือว่าเป็นบาปกรรม” นายศุภภัทร์พจน์ กล่าวย้ำ

ขณะเดียวกันชาวบ้านกว่า 20 คน ที่เดินทางเข้ามาร่วมลงนามในการยื่นหนังสือได้แสดงเจตนาว่าปัญหาดังกล่าวได้เกิดขึ้นมาแล้วสี่ปี แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาอะไรได้ โดยท่านเจ้าอาวาส เคยพูดไว้ว่า ขอเวลาทดลองจัดการบริหารงานในวัด สองปี หากไม่สามารถทำได้ท่านจะลาออกไปเอง พวกเราไม่เคยต่อต้านท่าน แต่เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นท่านเป็นคนดำเนินการเองทุกเรื่อง ตอนนี้ก็อยากจะบอกว่าถ้าท่านทำไม่ได้ก็ควรออกไป ตรงนี้พูดถึงความรู้สึกของชาวบ้านที่ทำบุญให้วัดนี้มาตลอด เพราะทุกวันนี้วัดก็ มีผู้คนมาทำบุญลดน้อยลงมากแล้ว ก็ขอฝากให้ผู้ใหญ่ช่วยเข้ามาดูแลในเรื่องนี้ด้วย

****************************************************************