“หลวงพี่น้ำฝน” สวมบทตำรวจพระ เปิดปฏิบัติการไล่ล่าอดีตหลวงตาที่เพิ่งจับสึก กระทำผิดซ้ำซากแอบสวมจีวรออกบิณฑบาต

0
147

“หลวงพี่น้ำฝน” สวมบทเข้มพระวินยาธิการภาค 14 เปิดปฏิบัติการตรวจสอบพระปลอมรับอรุณ บังเอิญพบอดีตหลวงตาเวิร์ค ฟอร์ม โฮม ที่เพิ่งบุกถึงไปบ้านเชิญไปสึกเมื่อสัปดาห์ก่อน ขณะแอบสวมจีวร อุ้มบาตรตะเวนรับอาหารใส่บาตรยามเช้าในตลาดดังย่านสถานีขนส่งจังหวัดนครปฐม โดยเจ้าตัวถึงกับหน้าถอดสี เตรียมพุ่งขึ้นรถหวังขับหลบหนี แต่ถูกล๊อคตัวไว้ได้ โดยพ่อค้าเพิ่งใส่บาตร ถึงกับร้องเสียงหลงเพราะเพิ่งได้ดูข่าว รอบนี้ส่งตัวดำเนินคดี 2 ข้อทั้งปลอมแปลงเอกสารราชการและแต่งกายเรียนแบบสงฆ์ ทนายดังชี้หากกระทำผิดซ้ำซากศาลอาจพิจารณาไม่รอลงอาญาได้ด้วย วอนประชาชนแจ้งเบาะแสมพร้อมลุยจับถอดผ้าเหลือง

เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 06.30 น. พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม ในฐานะประธานคณะทำงานดำเดินการแก้ไขข้อขัดข้อง ระงับเหตุ และแก้ไขปัญหาอธิกรณ์ข้อร้องเรียนในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค 14 (พระวินยาธิการ) ได้ออกตรวจสอบ ความเรียบร้อยของพระภิกษุสงฆ์ในการออกบิณฑบาตช่วงเช้าบริเวณ ในเขตพื้นที่อำเภอเมืองนครปฐม หลังจากเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาได้ลงพื้นที่ตรวจสอบกรณีประชาชนร้องเรียนมีพระภิกษุไม่จำพรรษาที่วัด และมีบางรายอาศัยอยู่ในบ้านกลางเมืองนครปฐม เป็นลักษณะ เหมือนการปฏิบัติกิจแบบเวิร์คฟอร์มโฮม นำไปสู่กระบวนการจับสึกซึ่งเป็นข่าวที่ประชาชนให้ความสนใจถึง พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพระภิกษุสงฆ์ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ

เมื่อหลวงพี่น้ำฝนมาถึงบริเวณสถานีขนส่งจังหวัดนครปฐม ติดกับตลาดปฐมมงคล ได้มีประชาชนส่งข้อมูลว่ามีพระภิกษุสูงวัยลักษณะพฤติกรรมคล้ายกับหลวงตาอายุ 70 ปี ที่ไม่ยอมกลับไปจำพรรษาในวัดแต่กลับมาอาศัยอยู่ในบ้านพักกลางเมืองนครปฐม ออกบิณฑบาตอยู่ในบริเวณดังกล่าว จึงได้มีการติดตามพฤติกรรมกระทั่งพบ รถกระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นไทเกอร์ สีบรอนซ์ทอง เป็นลักษณะเดียวกับรถของหลวงตารูปดังกล่าวที่ถูกจับสึกไปเมื่อเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จอดอยู่ริมถนนภายในสถานีขนส่งจังหวัดนครปฐม ขณะที่คณะทำงานได้มีการออกตรวจกระทั่งพบพระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่งมีลักษณะคล้ายกัน ได้ออกเดินบิณฑบาตอยู่ในพื้นที่ตลาดและมีการหยุดยืนเพื่อรอญาติโยมขาประจำมาใส่บาตรในเวลาดังกล่าว โดยหลวงพี่น้ำฝน ได้เฝ้ารออยู่ที่รถกระบะต้องสงสัยคันดังกล่าว กระทั่งเวลาประมาณ 06.40 น. พระภิกษุรูปดังกล่าวได้เดินกลับมาที่รถ หลวงพี่น้ำฝนจึงได้เข้าแสดงตัวและขอตรวจสอบเอกสาร ทำให้พระ รูปนั้นเกิดอาการตกใจและยอมจำนนทรุดนั่งที่ข้างรถ หลวงพี่น้ำฝนได้ยืนยันกับคณะทำงานว่าเป็นพระรูปเดียวกันกับที่มีการร้องเรียนซ้ำเข้ามาและเป็นคนเดียวกับพี่มีการสึกไปแล้วก่อนหน้าแต่ก็ได้กลับมาสวมจีวรแต่งกายเป็นพระภิกษุอีกครั้ง จากนั้นได้มีการสอบถามว่าได้มีการกลับไปบวชครั้งหรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่าไม่ได้กลับไปบวชแต่เป็นการนำจีวรกลับมาสวมเองและออกบิณฑบาตตามปกติ โดยคิดว่าเป็นความผิดเล็กน้อย

ขณะที่มีการควบคุมตัวเพื่อรอประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลวงตาเวิร์คฟอร์มโฮม ได้พยายามพุ่งหนีออกจากเก้าอี้และพยายามจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถเพื่อจะหลบหนีแต่ติดที่ตัวหลวงพี่น้ำฝนและลูกศิษย์ที่สามารถจับล๊อคตัวได้ทันก่อนจะให้นั่งสงบสติอารมณ์เพื่อรอการประสานงานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ สภ.เมืองนครปฐม มาทำการรับตัวไปตรวจสอบเอกสาร หนังสือสูจิบัตรและเอกสารอื่นๆ อีกครั้ง ขณะเดียวกันได้มีพ่อค้าแม่ค้าที่ได้ใส่บาตรกับหลวงตาเวิร์คฟอร์มโฮม ที่เห็นเหตุการณ์จึงได้เดินมาดูและ แจ้งว่าเพิ่งใส่มะนาวไปหนึ่งถุงและมาพบว่ามีการจับกุมเนื่องจากเป็นพระปลอม ทั้งยังเป็นคนที่ปรากฏเป็นข่าวจึงได้บอกว่าเสียความรู้สึกและได้หยิบโทรศัพท์มือถือถ่ายภาพส่งไปให้ภรรยาดูและบอกว่านี่คือพระที่เป็นข่าวเมื่อไม่กี่วันก่อน เป็นจังหวะที่มีประชาชนกลุ่มหนึ่งมายืนมองดูเหตุการณ์ และแสดงความรู้สึกเบื่อหน่ายกับพฤติกรรม โดยหลวงพี่น้ำฝนได้แจ้งว่าหากพบพฤติกรรมดังกล่าวให้แจ้งตรงมาที่ตนเองหรือให้มาแจ้งข้อมูลไว้ที่วัดไผ่ล้อม จะรีบมีการดำเนินการโดยเร็วดังกรณีนี้ที่มีการจับกุมมาแล้วถึงสองครั้ง

หลวงพี่น้ำฝนได้ยืนยันว่านี่คือการกระทำความผิดซ้ำเช่นเดิมจึงได้นิมนต์เจ้าคณะตำบลพระปฐมเจดีย์ เจ้าคณะอำเภอเมืองนครปฐม ตัวแทนเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด(พศจ.)นครปฐม ให้เข้ามาตรวจสอบเอกสารทั้งหมดอย่างละเอียดอีกครั้ง ซึ่งก็ยังมีการสารภาพว่ายังไม่ได้มีการกลับไปบวชแต่มีการกลับมาแต่งกายจริงและออกบิณฑบาตตามปกติ จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ควบคุมตัวเพื่อไปทำการสอบสวนเพิ่มเติมอีกครั้ง

หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม กล่าวว่า หลวงตาเวิร์คฟอร์มโฮม มีการรวบรวมข้อมูลข้อมูลว่ามีการถูกจับกุมและถูกจับสึกมาแล้วไม่น้อยกว่าสองถึงสามครั้ง แต่ก็ไม่ได้มีการหยุดพฤติกรรมและยังคงกลับมาแต่งกาย ด้วยการสวมจีวรเป็นพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายอาญา ทั้งการปลอมแปลงเอกสารทางราชการและการแต่งกาย เพื่อให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าเป็นพระสงฆ์ เมื่อหลวงตาไม่สนใจการปกครองของคณะสงฆ์ซึ่งได้มีมติให้ลาสิกขาออกไปแล้ว จึงจำเป็นต้องดำเนินคดีทางกฎหมายอาญา โดยได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่จากสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐมเป็นตัวแทนในการไปลงบันทึกประจำวันและแจ้งข้อกล่าวหา ไว้ก่อน

หลวงพี่น้ำฝน กล่าวอีกว่า กรณีที่มีประชาชนสงสัยว่าตำรวจพระคืออะไร ตนเองในฐานะที่มีตำแหน่งประธานคณะทำงานดำเดินการแก้ไขข้อขัดข้อง ระงับเหตุ และแก้ไขปัญหาอธิกรณ์ข้อร้องเรียนในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค 14 ซึ่ง เป็นตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้งอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งก็คือพระวินยาธิการ หรือตำรวจพระ โดยได้รับสนองงานจาก พระธรรมวชิรานุวัตร เจ้าคณะภาค 14 เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง เพื่อดูแลให้คณะสงฆ์ให้ปฏิบัติอยู่ในกฎของมหาเถรสมาคม ซึ่งอย่างกรณีนี้ก็ไม่มีการเลือกปฏิบัติแต่เป็นการร้องเรียนเข้ามาโดยตรงจากประชาชน โดยมีพื้นที่รับผิดชอบ ประกอบด้วยจังหวัดนครปฐม สุพรรณบุรี สมุทรสาครและกาญจนบุรี ซึ่งหากประชาชนท่านใดพบพฤติกรรมไม่เหมาะสมหรือมีความสงสัยว่าบุคคลนั้นจะเป็นพระภิกษุสงฆ์จริงหรือไม่ก็ขอให้ติดต่อเข้ามาโดยตรงที่อาตมาได้เลย โดยจะมีคณะทำงานเป็นทีมที่จะเข้าไปถึงปัญหาอย่างรวดเร็วเพื่อให้ญาติโยมมีความมั่นใจในคณะสงฆ์

ด้าน พ.ต.อ.ภูภณ ทัพเจริญ ผกก.สภ.เมืองนครปฐม ได้มีการเข้าสอบปากคำหลวงตาเวิร์คฟอร์มโฮม ด้วยตัวเองโดยระบุว่า ได้เคยมีการจับกุมบุคคลรายนี้ไปแล้วเมื่อ 4 ปีก่อนโดยได้มีการให้สัญญาว่าจะไม่กลับเข้ามาแต่งกายเป็นเหมือนพระสงฆ์หรือเข้ามาอยู่ในพื้นที่อีก จากนั้นได้สอบถามประวัติและตรวจสอบเอกสารเพิ่มเติมจากที่มีการจับกุมตัวได้ครั้งแรกโดยพบว่ารถยนต์ที่ใช้ในการขับมาบิณฑบาตเป็นรถที่ใช้ในการก่อเหตุจึงได้มีการขออายัดไว้เพื่อขอตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้งว่าเป็นรถของใคร โดยได้มีการให้นำของกลางที่ก่อเหตุเป็นจีวร บาตรสแตนเลส ขนม ที่ได้จากการบิณฑบาตในช่วงเช้ามาแสดงไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งหลวงตาเวิร์คฟอร์มโฮมจากที่มีอารมณ์เกรี้ยวกราดได้เริ่มลดความร้อนแรงเนื่องจากเริ่มทราบว่ามีข้อกล่าวหาทางกฎหมายเพิ่มขึ้น

ขณะที่นายศุภภัทรพจน์ นิติศศธร ทนายความ ในฐานะนายกสมาคมไวยาวัจกรแห่งประเทศไทย ได้ให้ความเห็นไว้ว่า กรณีดังกล่าวของหลวงตาเวิร์คฟอร์มโฮม การกระทำที่ทำมาอย่างต่อเนื่องเป็นที่เอือมระอาของคณะสงฆ์เจ้าคณะผู้ปกครอง ทั้งเจ้าคณะตำบลและเจ้าคณะอำเภอ เป็นไปได้ว่าศาลท่านจะไม่รอลงอาญา เพราะปล่อยมาแล้วอาจจะกลับมาก่อเหตุอย่างนี้อีก และครั้งหลังก็ไม่มีใครบวชให้ และยังมีการขับรถมาบิณฑบาตแบบนี้เรียกว่าเป็นการแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ ซึ่งหากพ้นโทษมาแล้วก็ยังไม่มีอะไรการันตีได้ว่าท่านจะกลับมาทำพฤติกรรมแบบนี้อีกหรือเปล่า

นายศุภภัทรพจน์ กล่าวอีกว่าสำหรับกรณีนี้เข้าอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 208 บัญญัติว่า “ผู้ใด แต่งกายหรือใช้เครื่องหมายที่แสดง เป็นพระภิกษุสามเณร นักพจน์หรือนักบวชในศาสนาใดโดยมิชอบ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นบุคคล เช่นว่านั้น ต้องระหว่างโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาทหรือทั้งจำ ” ส่วนข้อหาปลอมเอกสารหรือใช้เอกสารปลอม จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท นี่หมายถึง 1 กรรม แต่ถ้ามากว่า 1 กรรม ก็เรียงกระทงกันลงโทษ

*****************************************************************