ฝากถึงผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านนี้เมืองนี้ หากพระท่านทำผิดกฎหมายจริง มีหลักฐานยืนยันชัดแจ้งว่า ท่านไม่ใช่พระแล้ว แต่ยังนุ่งห่มจีวรอยู่ จงทำการกวาดล้างเสียให้สิ้นซาก

0
2730

ก็กลายเป็นประเด็นร้อนแรงขึ้นมาอีกในเรื่องพระวินัยที่ห้ามพระจับเงินจับทอง เมื่อ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่อนจดหมายถึง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ ขอทราบข้อมูลวัดที่มีการวางระบบเกี่ยวกับการจัดการด้านการเงินและการบัญชีของวัด ในกรณีที่พระภิกษุสงฆ์ มิต้องถือเงินสด แต่จะนำเงินเข้าบัญชีส่วนกลางของวัดทันทีเมื่อได้รับ

.เขาก็แค่สอบถามข้อมูล ก็อุตส่าห์มีผู้ไปร้องเรียนเขา เพียงเพื่อต้องการจะจุดประเด็นให้เป็นข่าว ความจริงที่เป็นอยู่ในสังคมปัจจุบันเป็นอย่างไร เดี๋ยวทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแต่ละจังหวัดเขาก็ให้ข้อมูลไปเอง ไม่เห็นจะต้องไปเดือดร้อนอะไรกันนักหนา

.เราจะตอบให้ไว้ตรงนี้ก็ได้ ใครอยากรู้ความจริงก็เข้ามาอ่าน ไอ้ที่พูดถกกันไปถกกันมาอยู่ในโซเชียลทุกวันนี้ มันก็เลอะเทอะ มีแต่ไอ้ประเภทเอาสีข้างเขาถู บ้างก็เอาธรรมเมามาพูด คนที่ไม่รู้ก็พลอยไม่รู้หนักเข้าไปอีก พระธรรมวินัยยังมีอยู่ ถ้ารู้จริงมันก็ต้องพูดอย่างเดียวกัน จะพูดเป็นอย่างอื่นไม่ได้

.ถ้าเป็นกรณีพระไม่จับเงิน พระป่าท่านก็ไม่จับเงินกันเป็นปกติอยู่แล้ว พระที่จับเงินเป็นปกติก็มีอยู่ ต้องแยกกันเป็นกรณีไป แต่การที่จะนำเงินที่เขาถวายส่วนตัวของพระแต่ละองค์ ไปเข้าบัญชีส่วนกลางของวัด คงทำไม่ได้ เว้นไว้แต่พระท่านจะยินยอมพร้อมใจให้เอง

.กรณีเอาเงินเข้าบัญชีส่วนกลางของวัด จะเป็นได้ก็เฉพาะวัดของครูบาอาจารย์ที่ทรงมรรค ทรงผล ทรงนิพพาน อันเป็นที่เคารพนับถือของพระทุกองค์ ก็อาจพอเป็นไปได้ และเป็นได้เฉพาะกิจนิมนต์ที่ไปในนามของวัด ส่วนกิจนิมนต์อื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับทางวัด ก็ต้องแล้วแต่พระท่านจะเห็นสมควรเองว่า จะให้ทางวัดหรือไม่ เนื่องจากเป็นสิทธิอันชอบธรรมของพระแต่ละองค์ ท่านจะให้หรือไม่ให้ มันก็สิทธิ์ของท่าน

.เพราะครูบาอาจารย์ที่ท่านทรงคุณธรรมชั้นสูง ท่านก็ไม่หิวเงิน ท่านไม่อยากได้เงินของใคร ท่านก็จะไม่มีทางไปบังคับให้พระเณรเอาเงินที่ญาติโยมถวายสำหรับให้ใช้ส่วนตัว มาเข้าบัญชีของวัดอย่างเด็ดขาด เพราะทำเช่นนั้นเท่ากับไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของพระเณรทั้งหลาย หากเจ้าของทรัพย์เขาไม่ยินยอม มันก็หมิ่นเหม่ที่เจ้าอาวาสจะเป็นอาบัติปาราชิกได้ เว้นไว้แต่พระเณรจะยินยอมพร้อมใจกันยกถวายให้วัดเอง ด้วยความอยากได้ทำบุญกับครูบาอาจารย์ชั้นนี้

.อย่าลืมว่า พระท่านก็เป็นคนไทยคนหนึ่ง ย่อมมีสิทธิ์อันชอบธรรมตามที่คนไทยควรจะมี ควรทราบว่า บัญชีกลางของวัดก็มีเจ้าอาวาส กรรมการวัด หรือไวยวัจกร เป็นผู้มีอำนาจลงนามสั่งจ่ายร่วมกัน ถ้าเจ้าอาวาสเป็นผู้มีคุณธรรม มักไม่ค่อยมีปัญหา เพราะผู้มีธรรม นอกจากท่านจะไม่คิดเอาเงินของพระเณรมาเข้าบัญชีวัดแล้ว ท่านยังต้องคอยสอดส่องดูแลให้ความช่วยเหลือพระเณรแต่ละรูป ตามสมควรแก่ความจำเป็นอีกด้วย

.เงินที่ศรัทธาญาติโยมถวายให้พระท่านใช้ส่วนตัว พระท่านก็ไม่ได้ไปจับ ก็มอบให้โยมอุปัฏฐากวัดเก็บรักษาไว้ให้ท่าน หรือให้โยมไปเปิดบัญชีธนาคาร มอบให้ธนาคารเป็นผู้เก็บรักษาให้ท่านก็ยังได้ มันก็สิทธิ์ของท่านที่จะทำเช่นนั้นได้ ทางพระวินัยก็ไม่มีอะไรขัดข้อง ฝากโยมไว้มันก็ไม่ปลอดภัยนัก ฝากธนาคารไว้ก็เพิ่มความปลอดภัย เวลามีความจำเป็นด้วยปัจจัย ๔ อย่างใด ก็สั่งให้โยมไปเบิกถอนมาได้ ความเสียหายไม่ได้อยู่ที่การเก็บเงินอย่างไร มันอยู่ที่จะนำไปใช้ทำอะไรให้เกิดประโยชน์ ที่ไม่ขัดต่อพระวินัยต่างหาก

.ขอเพียงพระอย่าไปจับเงิน อย่าไปยินดีในเงิน ให้ยินดีในปัจจัย ๔ อันจะพึงได้จากเงินนั้น ก็ไม่ผิดพระวินัย เพราะพระแต่ละองค์ ย่อมมีกิจจำเป็นที่ต้องใช้เงินเพื่อปัจจัย ๔ มากบ้างน้อยบ้างตามความจำเป็นของท่าน ก็ไม่ได้ไปหนักหัวกบาลเปรตตัวไหน

.ก็อยากจะเตือนฆราวาสญาติโยมพุทธบริษัทสี่ทั้งหลาย ถ้ารักพระพุทธศาสนา อยากเห็นศาสนาพุทธอยู่คู่ประเทศไทยไปนาน ๆ จงอย่าได้พยายามคิดอ่านกระทำการแก้ไขดัดแปลงพระธรรมวินัยที่พระบรมศาสดาทรงตรัสไว้ดีแล้วนี้แต่อย่างใดเลย คือไม่พึงบัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงบัญญัติ ไม่เพิกถอนสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้แล้ว ให้สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบทที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้คือ เว้นข้อที่ห้าม ทำตามข้อที่ทรงอนุญาต นั่นแล ได้ชื่อว่า เป็นลูกศิษย์พระตถาคต ถือเป็นชาวพุทธแท้

.หากแม้นผู้ใดบังอาจคิดอ่านกระทำการแก้ไขดัดแปลงพระธรรมวินัยให้วิปริตผิดเพี้ยนไปจากของเดิม มันผู้นั้นก็จักได้ชื่อว่า เป็นผู้เหยียบย่ำทำลายพระธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า ถือเป็นการทำร้ายพระพุทธเจ้า เพราะพระธรรมวินัยเป็นองค์แทนพระบรมศาสดา ใครเหยียบย่ำทำลายก็ถือเป็นกรรมอันหนักถึงขั้นห้ามมรรค ผล นิพพาน และเป็นเหตุให้ตายแล้วจะได้ไปอบายในทันที ดังนั้น ถ้ายังมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวดีอยู่ตราบใด ก็จงอย่าได้อวดอุตริหาญกล้าคิดอ่านแก้ไขดัดแปลงพระธรรมวินัยเป็นอันขาด

.เกี่ยวกับเรื่องของพระวินัย ข้อที่ห้ามพระจับเงินจับทองนั้น พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เปรตตัวไหนไปแก้ไขดัดแปลงหรือเพิ่มเติมสิ่งใด ๆให้รกรุงรัง พวกหนอนแทะกระดาษจิตสกปรกทั้งหลาย อย่ามาอวดรู้อวดฉลาด ครูบาอาจารย์ล้วนพระอรหันต์ ไม่ว่าจะกี่พระองค์ นับตั้งแต่พ่อแม่ครูอาจารย์ใหญ่ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่พรหม หลวงปู่อ่อน หลวงปู่ชอบ หลวงปู่หลุย หลวงปู่แหวน หลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั้น จนถึงหลวงปู่มหาบัว ต่างก็ประพฤติปฏิบัติพาดำเนินมาอย่างนี้เป็นปฏิปทาอันหมดจดงดงามมาช้านานแล้ว ก็มิได้มีสิ่งใดเป็นอุปสรรคขวางกั้นต่อมรรค ผล นิพพาน

.ที่พระป่าท่านประพฤติปฏิบัติกันอยู่ทุกวันนี้ ก็เป็นปฏิปทาฝ่ายพระธุดงคกรรมฐาน ที่ผ่านขบวนการทดสอบสืบทอดกันมาเป็นเวลากว่า ๒๕๐๐ ปี นี้แล้ว ยังไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง ผู้ที่ทรงมรรค ทรงผล ทรงนิพพาน ก็ยังมีให้เห็นเป็นสักขีพยานแห่งความปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตรงตามพระธรรมวินัย ก็ยังมีให้เห็นอยู่อย่างมากมาย ถ้าใครปฏิบัติผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากหลักธรรมหลักวินัย ก็ไม่มีทางที่จะได้บรรลุ มรรค ผล นิพพาน เอากันตรงนี้

.ในปัจจุบัน สด ๆ ร้อน ๆ ก็มีพ่อแม่ครุอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ก็เป็นพระอรหันต์องค์เอกแห่งยุค ทั้งอัฏฐิของท่านก็กลายเป็นพระธาตุ ประดิษฐานอยู่ ณ วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี ปฏิปทาอันหมดจดงดงามขององค์ท่าน ก็เป็นปฏิปทาที่พระเณรถือปฏิบัติ เป็นแบบอย่างที่ถูกต้องดีงามตรงตามพระธรรมวินัยอยู่แล้ว

.ท่านมีคุณูปการต่อโลกอย่างมากมาย ก็ด้วยข้อวัตรปฏิปทาแบบเดียวกันนี้ พระธรรมวินัยก็อันเดียวกัน ทองคำ ๑๓ ล้านตัน กับเงินกว่า ๑๐ ล้านดอลล่าร์ ได้เข้าไปสถิตย์อยู่ในคลังหลวง ก็สำเร็จลงได้ด้วยพระธรรมวินัยอันเดียวกันนี้ พระธรรมวินัยยังคงเส้นคงวาอยู่เหมือนเดิม มิได้ขาดตกบกพร่องที่ตรงไหน จึงไม่จำเป็นต้องให้คนมีกิเลสสกปรกมาแก้ไขดัดแปลงพระธรรมวินัยให้ผิดเพี้ยนไปจากเดิม ให้เป็นมลทินแปดเปื้อนพระพุทธศาสนา

.ที่เป็นปัญหาในวงสังคมของพระสงฆ์ทุกวันนี้ เป็นปัญหาเรื่องการปฏิบัติของพระสงฆ์ ที่วิปลาสคลาดเคลื่อนไปจากพระธรรมวินัยเองต่างหาก ไม่ใช่ปัญหาของพระธรรมวินัย อย่าว่าแต่พระสงฆ์ แม้ฆราวาสญาติโยมที่บอกว่า เป็นชาวพุทธ นับถือศาสนาพุทธ แต่จะหาผู้ที่ปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาพุทธได้อย่างแท้จริง ก็หายากเต็มทน จนแทบจะหาไม่มี แต่ฆราวาสที่ตั้งตัวเป็นผู้เชียวชาญรอบรู้เรื่องพระธรรมวินัย กลับมีเยอะแยะนัก จนแทบจะเดินชนกันตายวันละหลาย ๆ ศพ

.คนนั้นก็จะปฏิรูปวงการสงฆ์อย่างนั้น คนโน้นก็บอกว่าจะต้องทำอย่างนี้ เถียงกันไปเถียงกันมา เหยียบหัวพระสงฆ์ ข้ามหัวพระสงฆ์ ราวกับเห็นท่านเป็นหัวหลักหัวตอ พอบอกให้มันไปบวชพระ บวชชี ลองปฏิบัติกันจริง ๆ จัง ๆ ดูบ้าง ตามทฤษฎีของตัวเองที่เห่าหอนกันอยู่ทุกวันนี่นะ สักพรรษา สองพรรษา หรือหลาย ๆ พรรษาก็ได้ เท่านั้นแหละ แต่ละตัวแม่ม..วิ่งหนีหางจุกตูด ขี้เยี่ยวแตกไหลทะลักไปตลอดทาง ไม่เห็นมี ไอ้หรืออีหน้าไหน กล้าโผล่หัวเข้ามาบวช แล้วทำตามที่ตัวเองมันเห่าหอนแม้แต่สักตัวเดียว

.ทุกวันนี้กำลังเกิดวิกฤติศาสนทายาท พวกมึงรู้กันบ้างไหม? หาผู้ที่จะบวชเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาอย่างจริง ๆ จัง ๆ แทบจะหาไม่มีกันแล้ว พอบอกว่าจะไปบวช แม่ม..ก็ต่อรองกันล่ะ จะเอา ๑๐ วันบ้าง ๑๕ วันบ้าง ๓๐ วันบ้าง ไอ้บางพวกก็จัดบวชกันทีหนึ่งเป็นฝูง ๆ หารับประทานกับการบวชเข้าไปอีก บวชพอให้ได้ชื่อว่าบวช บวชแล้วก็สึกกันออกไป แทบจะไม่มีผู้อยู่สืบทอดพระพุทธศาสนา ใครที่อยากได้พระดี เก่งจริงก็เข้ามาบวช ทำตัวเองให้เป็นพระดีอย่างที่ต้องการ นั่นแหละ จะเป็นคุณูปการต่อพระพุทธศาสนา ดีกว่าที่จะคอยไปเห่าไปกัดพระสงฆ์ที่ท่านก็เป็นอยู่ด้วยความลำบากยากแค้น

.ถ้าเข้ามาบวชเองไม่ได้ ก็ควรคอยเป็นกำลังใจให้การอุปถัมภ์บำรุงพระสงฆ์ด้วยปัจจัย ๔ ให้ท่านได้ปฏิบัติศาสนกิจบำเพ็ญสมณธรรมในเพศสมณะได้สะดวกตามสมควรแก่อัตภาพ อย่ามัวแต่คอยจ้องจับผิดพระสงฆ์องคเจ้าอยู่เลย อีกไม่นานพระสงฆ์ที่มีอยู่ ก็พากันละสังขารตายจากกันไปหมดแล้ว ถ้าพวกคุณไม่ปลูกฝังคนรุ่นใหม่ ให้เข้ามาบวชด้วยศรัทธาในพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า มุ่งหวังบำเพ็ญเพียรเพื่อความดับทุกข์ มีแต่ส่งเสริมให้บวชกันพอเป็นพิธี จัดอุปสมบททีละเป็นฝูง ๆ หารับประทานกับการบวชอยู่เช่นนี้ อีกไม่นานหรอก พวกคุณจะไม่มีพระสงฆ์ให้กราบไหว้

.ไม่ต้องไปโทษว่า ศาสนาอื่นจะมาทำลายพระพุทธศาสนาหรอก พวกคุณที่เป็นชาวพุทธแต่ชื่อ นี่แหละ จะเหยียบย่ำทำลายพระพุทธศาสนาเสียเองอย่างยับเยิน ด้วยความไม่ใส่ใจที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยของพระบรมศาสดา มิหนำซ้ำ ยังจะอวดเก่งมาปฏิรูปคณะสงฆ์ แก้ไขดัดแปลงพระธรรมวินัยให้เป็นไปตามใจตัวเองอีกต่างหาก

.เป็นฆราวาสก็ให้อยู่ตามประสาฆราวาส กระทำตัวเป็นพุทธบริษัทที่ดี หากจะมีข้อเสนอแนะอันใดที่เกี่ยวข้องกับพระธรรมวินัยของสงฆ์ จงถวายความเคารพแด่สงฆ์ ให้เสนอข้อคิดเห็นกราบทูลต่อสมเด็จพระสังฆราช พระองค์เป็นประมุขสงฆ์ ให้พระองค์ได้ประชุมสงฆ์เพื่อพิจารณาเห็นชอบเสียก่อนว่า การที่เสนอมานั้นไม่ขัดข้องต่อพระธรรมวินัย สมควรกระทำได้โดยแท้ จึงจะเป็นการดีการชอบ

.ไม่ใช่คิดอยากจะให้พระสงฆ์ทำอย่างไร ก็ไปออกกฎหมายสั่งการกันเอาเอง สั่งให้พระต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างโน้น การออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพระสงฆ์ มันก็ต้องเป็นผู้ที่มีความรอบรู้ในพระธรรมวินัยอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่รู้ตามตำราแบบงู ๆ ปลา ๆ ควรได้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยมาก่อน ไม่ใช่ให้ไอ้เบื๊อกที่ไหน บวชก็ไม่เคยบวช กลางคืนนอนกอดเมีย ตอนเช้าโผล่หัวขึ้นมา ก็จะมาปฏิรูปคณะสงฆ์ โคตรแม่ม.. เห็นพระธรรมวินัยเป็นของไม่มีราคาขนาดนั้นเชียวหรือ?

.ชาวพุทธจงทราบไว้ว่า การออกกฎหมายใด ๆ ก็ตาม ที่จะมาเกี่ยวข้องกับพระธรรมวินัย ต้องเป็นไปเพื่อความคุ้มครองพระธรรมวินัยให้มั่นคงแข็งแรงเท่านั้น จะออกกฎหมายให้ขัดหรือแย้งต่อพระธรรมวินัย มิได้เด็ดขาด ถ้าไม่อยากให้พระพุทธศาสนาเสื่อมสูญอันตรธานหายซากไปจากประเทศไทย จงจำความข้อนี้ไว้ให้ดี ๆ แล้วคอยระมัดระวังป้องกัน อย่าให้ไอ้หรืออีหน้าไหนมาก้าวล่วงเป็นอันขาด

.เพราะอาจมีกลุ่มคนผู้ไม่หวังดีที่คิดร้ายต่อพระพุทธศาสนา อาจฉวยโอกาสใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการทำลายล้างพระพุทธศาสนาให้ย่อยยับไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แนวความคิดที่จะโอนทรัพย์สินของพระพุทธศาสนาที่เป็นศาสนสมบัติกลาง ทรัพย์สินของวัด ทรัพย์สินส่วนตัวของพระ ไปไว้ในสำนักงานที่เรียกว่า สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระพุทธศาสนา แนวความคิดเช่นนี้ ขัดต่อพระธรรมวินัยอย่างร้ายแรง ถ้าลงได้ทำเมื่อไร แผ่นดินสงฆ์จะลุกเป็นไฟอย่างแน่นอน

.สมัยที่องค์หลวงตายังอยู่ ก็เคยพาพระป่าเข้าเมืองมาคัดค้านกันครั้งหนึ่งแล้ว ที่เรียกว่า พรบ.สงฆ์ ฉบับมหาคณิศศร หรือ ที่องค์หลวงตาเรียกว่า ฉบับมหาโจรปล้นศาสนา คงยังพอจำกันได้ ถ้ามายุคนี้สมัยนี้ยังจะมีคนไปปลุกผีเปรต พรบ.สงฆ์ฉบับนี้ ให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก พระป่าก็คงต้องรวมพลังกันลุกขึ้นขับไล่เปรตฝูงนี้ ให้มันสิ้นซากไปอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน

.มาดูกัน! เรื่องพระวินัยที่ห้ามพระจับเงินจับทอง ที่เป็นปัญหาที่นักปราชญ์หนอนแทะกระดาษ ถกกันจนเลอะเทอะ ในสิกขาบทที่ ๘ แห่งอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ วรรคที่ ๒ ว่า

.”อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทองเงิน หรือยินดีทองเงินอันเขาเก็บไว้ให้ก็ดี เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.”

.นี่เรียกว่า มูลบัญญัติ หรือต้นบัญญัติ ท่านบัญญัติไว้ตอนแรก ห้ามไว้อย่างเข้มงวดกวดขัน ครั้นต่อมาภายหลังจึงมี อนุบัญญัติ ผ่อนปรนลงมา ทรงมีพระบรมพุทธานุญาตให้มีไวยาวัจกรรับเงินแทนพระได้ เรียกว่า “เมณฑกานุญาต” แต่พวกนักปราชญ์หนอนแทะกระดาษไม่ค่อยจะยอมพูดถึงตรงจุดนี้ พยายามจะปั้นเรื่องว่า ถึงพระไม่จับเงินเอง แต่ให้คนอื่นจับ ก็ยังผิดพระวินัยอยู่ดี เพราะถ้ายังยินดีในทองเงินที่เขาเก็บไว้ให้ ก็หนีไม่พ้นอาบัติ

.ต้องทำความเข้าใจตรงนี้ก่อน คำที่ว่า รับเงิน เทียบได้กับคำว่า จับเงิน เช่น นักศึกษารับปริญญา ก็คือจับปริญญา ถ้าไม่จับก็รับไม่ได้ หรือผู้รักษาประตูรับลูกฟุตบอล ก็คือจับลูกฟุตบอล ถ้าไม่จับก็รับไม่ได้

.ดังนั้น ข้อที่ว่า รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทองเงิน ก็หมายถึง การจับทองเงินด้วยตนเอง ถือว่าเป็นอันต้องอาบัติแน่นอน พระจะจับทองเงินด้วยตัวเองไม่ได้ ส่วนการให้ผู้อื่นจับทองเงินแทน ไม่ถือเป็นอาบัติ เพราะมีพระพุทธานุญาตผ่อนปรนไว้ให้แล้วที่เรียกว่า “เมณฑกานุญาต” ต้องทำความเข้าใจให้ตรงในจุดนี้ พระบรมศาสดาทรงอนุญาตให้มีผู้อื่นจับทองเงินแทนพระได้ แล้วไอ้หมาตัวไหนมันมีดีอะไร จึงจะกล้ามาเห่าว่า ให้ผู้อื่นจับทองเงินแทนก็ยังเป็นอาบัติ คงเป็นนอาบัติที่โคตรพ่อโคตรแม่ม..ตั้งขึ้นมาเองละสิ!

.ส่วนข้อที่ว่า ยินดีทองเงินอันเขาเก็บไว้ให้ หมายถึง การไปหยิบจับเอาทองเงินที่เขาเก็บไว้ให้นั้น เอามาเป็นของตน นี้จึงเรียกว่า ยินดีทองเงินอันเขาเก็บไว้ให้ ถ้าหากลำพังแต่ใจยินดี แต่ไม่ได้จับทองเงินนั้นเอามาเป็นของตน ก็ไม่ถือเป็นอาบัติ เพราะอาบัติย่อมไม่เกิดขึ้นเพียงลำพังใจคิดอย่างเดียว ต้องมีการกระทำทางกายประกอบ หรือมีวาจาประกอบด้วย จึงเป็นอาบัติ

.เช่น ลำพังคิดที่จะไปขโมยของคน จัดเป็นความคิดที่ไม่ดี ถือว่าผิดธรรม แต่ยังคงไม่ผิดพระวินัย ก็ยังไม่เป็นอาบัติ เพราะธรรมละเอียดกว่าวินัย ต่อเมื่อได้ลงมือไปขโมยของเขาจริง ๆ คือ มีกายเข้ามาประกอบ นี่ ถือว่า ผิดพระวินัยแล้ว ทันทีที่ของนั้นเคลื่อนจากที่ และของนั้นมีราคาตั้งแต่ ๕ มาสกขึ้นไป พระนั้นก็เป็นอาบัติปาราชิกขาดจากความเป็นพระภิกษุในทันที

.ปาราชิก ๔ นี้ ถือเป็นอาบัติหนักที่แก้ไขไม่ได้ เทียบเท่ากับโทษประหารชีวิตของทางโลก คือจะกลับมาบวชเป็นพระอีกไม่ได้ตลอดชีวิต ดังนั้น อาบัติปาราชิกนี้ จึงต้องมีเจตนาที่จะกระทำความผิดจริง ๆ เท่านั้น และต้องมีองค์ประกอบครบถ้วน จึงจะเป็นอาบัติ ถ้าไม่เจตนาจะขโมย หรือ สำคัญผิดว่าเป็นของตัวเอง หยิบผิดไป ก็ไม่เป็นอาบัติ

.ผู้ที่เป็นอาบัติปาราชิกแล้ว หากไม่ยอมสละสมณเพศ ยิ่งถือเป็นกรรมหนักซ้อนเข้าไปอีก ด้วยเป็นมิจฉาทิฏฐิหลอกลวงเขาเลี้ยงชีพ และถ้าเข้าร่วมหัตถบาสทำกิจสงฆ์ เป็นเหตุทำให้สังฆกรรมวิบัติ ก็ยิ่งซ้ำร้ายเป็นกรรมหนักอีกร้อยเท่าพันทวี

.สังเกตสิ! แม้จะเป็นอาบัติปาราชิกที่ลงโทษถึงประหาร แต่น้ำพระทัยของพระผู้มีพระภาคเจ้ายังเต็มเปี่ยมด้วยพระเมตตา มิใช่จะตั้งท่าประหารศิษย์พระตถาคตให้ตายเสียทีเดียว ยังเปิดช่องให้ปลงอาบัติกลับเนื้อกลับตัวได้อยู่ จึงกำหนดมูลค่าของทรัพย์ไว้ด้วย ถ้าทรัพย์มีราคาตั้งแต่ ๑ มาสกขึ้นไป แต่ไม่ถึง ๕ มาสก ก็ปรับแค่อาบัติถุลลัจจัย ถ้าต่ำกว่า ๑ มาสกลงไป ก็ปรับแค่อาบัติทุกกฎ นี่! เห็นไหม? คือยังไม่ปรับอาบัติปาราชิกเลยทีเดียว ต้องทรัพย์มีราคาตั้งแต่ ๕ มาสกขึ้นไปเท่านั้น จึงเป็นปาราชิก นี่! แสดงให้เห็นถึงน้ำพระทัยอันเต็มเปี่ยมด้วยพระเมตตาอย่างไม่มีประมาณของพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่มิได้ทรงบัญญัติพระวินัยไว้เพื่อมุ่งหวังจะฆ่าทำลายลูกศิษย์พระตถาคต

.แต่ด้วยพระเมตตาที่จะประคับประคองให้พระลูกพระหลานทั้งหลาย ดำรงตนอยู่ในสมณเพศตามพระธรรมวินัยนี้ได้อย่างเป็นผาสุก แม้จะกระทำผิดมีข้อบกพร่องบ้าง พระองค์ก็ให้อภัย เพียงว่ากล่าวตักเตือนเปิดช่องทางให้ออกจากอาบัติได้ เพื่อให้โอกาสฝึกฝนอบรมบ่มอินทรีย์บารมีธรรมให้แก่กล้าย่ิง ๆ ขึ้นไป เพราะไม่มีใครจะอยากกระทำชั่วตลอดไปหรอก บางทีก็เห็นผิดเป็นชอบไปบ้าง แต่วันหนึ่งเมื่อท่านกลับใจทำดีได้ ก็จักได้โอกาสบรรลุซึ่งมรรค ผล นิพพาน เว้นไว้แต่ประเภทที่เป็นปทปรมะ คือไม่เอาไหนจริง ๆ กระทำผิดพระวินัยแล้ว ยังทำผิดกฎหมายบ้านเมือง อันนั้นก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกฎหมายอยู่แล้ว

.ดังนั้น บรรดาชาวพุทธทั้งหลายเอ๋ย! หากเห็นพระสงฆ์กระทำผิดทำพลาดบ้าง ก็จงอย่าได้ด่าว่าท่านเสีย ๆ หาย ๆ นักเลย ทำราวกับว่า ท่านไม่ใช่พระ ไม่ใช่คน ตราบใดที่ท่านยังไม่ได้ล่วงอาบัติปาราชิก ท่านก็ยังคงเป็นพระสมบูรณ์อยู่ ยังมีศีลสูงส่งกว่าญาติโยมทั้งหลายอยู่มากมาย หากไม่คิดจะช่วยท่าน ก็จงปล่อยท่านไปตามทางของท่านเถิด ทุกคนต่างมีกรรมเป็นของตัว พระท่านทำไม่ดี ท่านก็จะได้รับผลแห่งกรรมที่ไม่ดีเอง การตำหนิพระ ด่าพระก็เป็นกรรมที่ไม่ดีของเรา เราก็ต้องไปรับผลแห่งกรรมไม่ดีนั้นเช่นกัน ด่าพระแล้ว ก็หาใช่จะทำให้พระท่านทำดีตามที่เราต้องการไม่ แต่กลับทำให้ใจของเราเศร้าหมอง เพราะไม่เคารพในพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า นั้น แน่นอนนัก

.จริงอยู่ ถึงแม้พระท่านยังเป็นปุถุชนทำผิดบ้าง ทำไม่ดีบ้าง แต่เมื่อท่านบวชนานไป ท่านก็อาจกลับใจประพฤติดีได้ ท่านก็สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานสำเร็จเป็นพระอริยบุคคลได้ ถ้าเราจะกราบไหว้แต่พระอริยบุคคล ไม่บำรุงพระปุถุชนให้ท่านได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามสมควรแก่ฐานะ ต่อไปเราจะเอาพระอริยบุคคลที่ไหนมากราบมาไหว้ เพราะพระอริยบุคคล ก็ไปจากพระปุถุชนที่ยังมีกิเลส ที่ท่านพยายามฝึกฝนอบรมตนอยู่นี่เอง แม้พระเทวทัตก็ยังมีวันกลับใจ พระบรมศาสดาทรงยอมให้พระเทวทัตได้บวช ก็เพราะเล็งเห็นว่า พระเทวทัตจะกลับใจได้ในวันสุดท้ายที่สิ้นลมนั่นเอง

.จงคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระผุ้มีพระภาคเจ้า ถึงแม้พระสงฆ์กระทำผิด ก็ทรงว่ากล่าวตักเตือน ชี้ช่องทางเปิดช่องให้ประพฤติปฏิบัติกลับตัวกลับใจได้ จนถึงที่สุดช่วยเหลือมิได้แล้ว ก็จึงจำใจต้องประหารด้วยปรับอาบัติปาราชิก ก็เพื่อจะรักษาส่วนรวมไว้เท่านั้น มิได้มีจิตคิดร้ายแต่ประการใด แต่พวกเราชาวพุทธบางคน ก็ด่าพระอย่างหยาบคายประหนึ่งว่า ท่านไม่ใช่พระ ฟังแล้วก็ช่างสลดหดหู่ใจนัก หากพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชมม์อยู่ ได้ยินชาวพุทธด่าพระสงฆ์เช่นนี้ พระองค์ก็คงจะทรงสังเวชสลดพระทัยยิ่งนักเช่นเดียวกัน

.ทรัพย์ ๕ มาสก ท่านเทียบเท่ากับทองคำน้ำหนัก ๒๐ เมล็ดข้าวเปลือก ใครมีตาชั่งที่ใช้ชั่งทองคำได้ ก็ไปชั่งดู ว่า ๒๐ เมล็ดข้าวเปลือกมีน้ำหนักเท่าไร ก็ถือเป็นน้ำหนักทองคำเท่านั้น เป็นมูลค่าแห่งอาบัติปาราชิก คงไม่น่าจะเกิน มูลค่าทองคำหนัก ๑ สลึง ไม่ใช่อย่างที่เข้าใจว่า มีมูลค่าเท่าราคา ๑ บาท

.ในทางปฏิบัติที่พ่อแม่ครูอาจารย์พาดำเนินมา คือ พระจะไม่จับเงินถือเงินด้วยตนเอง แต่ให้ผู้อื่นจับเงินให้ไม่เป็นไร ท่านไม่ถือว่า เป็นอาบัติ แต่ท่านห้ามไม่ให้ยินดีในทองเงินที่เขาเก็บไว้ให้ เพราะเกรงว่า จิตจะคิดสั่งสมเงิน ว่ามีเท่านั้นหมื่น เท่านั้นแสน เท่านั้นล้าน จะเป็นเหตุทำให้ใจเกิดความโลภแล้วทำภาวนาไม่ลง ท่านให้เลี่ยงไปยินดีในปัจจัย ๔ อันจะพึงได้จากเงินนั้นแทน เช่น บิณฑบาต จีวร เสนาสนะ คิลานเภสัช เป็นต้น ซึ่งปัจจัย ๔ เหล่านี้ คงไม่มีใครคิดที่จะอุตริเก็บกักตุนเอาไว้เยอะ ๆ เป็นแน่แท้

.ดังนั้น ถ้าลำพังแต่ใจยินดีในทองเงิน ยังไม่ถือว่าเป็นอาบัติ เพราะมนุษย์ปุถุชนใครจะกล้าบอกว่า ไม่ยินดีในทองเงิน ช่วยโผล่หัวมาให้ดูหน้าหน่อยสิ! ทุกวันนี้มันแย่งเงินแย่งทองกันยิ่งกว่าหมาเดือนเก้าแย่งตัวเมีย พระก็มาจากมนุษย์ปุถุชนคนมีกิเลส พอบวชเป็นพระปั๊บ ก็จะไม่ให้ยินดีในทองเงินเลยหรือ? บ้าไปหรือเปล่า? ก็ต้องยินดีบ้างเป็นธรรมดา แต่ธรรมท่านสอนให้รู้ว่า มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรไปยินดี เพราะผิดธรรม จำต้องพยายามบังคับใจ ฝืนใจเข้าไว้ ให้ยินดีในปัจจัย ๔ อันจะพึงได้จากทองเงินนั้นแทน

.ดังนั้น ถ้าพระไม่ไปจับทองเงินที่เขาเก็บไว้ให้ เอามาเป็นของตัว แม้จะเกิดความยินดีบ้างตามชั้นภูมิของจิต ก็ยังไม่เป็นอาบัติ ยังไม่ถือว่า ผิดพระวินัย โปรดทำความเข้าใจเสียให้ถูกต้อง อย่าหลงเชื่อคำพูดที่ว่า จะจับเงิน หรือไม่จับเงิน ถ้าจิตยังยินดีอยู่ ก็ถือว่า ผิดพระวินัยเหมือนกัน หนีไม่พ้นอาบัติ

.นี่เป็นคำพูดของคนที่ไม่เคยปฏิบัติในพระธรรมวินัย ไม่เคยภาวนา เพราะผู้ที่จิตจะไม่ยินดีในทองเงินนั้น โลกนี้มีอยู่เพียงสองท่านเท่านั้น คือ พระอนาคามี กับพระอรหันต์ นอกนั้น ก็ต้องยินดีทั้งหมด เพียงแต่ใครจะยินดีมาก ใครจะยินดีน้อย และใครจะอยู่ในประโยคพยายามที่จะทำลายความยินดีที่มีอยู่ให้หมดสิ้นไปจากใจ

.ส่วนพระที่ท่านจับเงิน ก็จงอย่าได้ไปตำหนิท่าน หากท่านพอใจทำเช่นนั้น ก็จงปล่อยให้ท่านทำไปเถิด ถ้าไม่ชอบใจให้ท่านทำ ก็หลีกไปเสียอย่าไปยุ่งกับท่าน แต่ถ้าคิดว่า ท่านคงอับจนปัญญา หาทางออกไม่ได้ ไปไหนไม่ถูก ถ้าไม่จับเงิน หากคิดอยากจะช่วยท่าน ก็เอาเงินถวายท่านได้ แต่อย่าไปส่งให้ท่านจับ จงหาที่วางอันควร แล้วบอกกับท่านว่า โยมขอถวายค่ารถ ค่าอาหาร เป็นมูลค่าเท่านั้นเท่านี้ แล้วเอาเงินวางไว้ เพียงเท่านี้โยมก็ได้บุญแล้ว ดีกว่าไปด่าว่าท่านให้เป็นบาป เพราะเรามีศีลต่ำกว่าพระอยู่มาก หากพระท่านจับเงินไปเอง ก็เป็นความผิดของพระ โยมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในความผิดนั้น

.พระท่านก็ต้องทนเป็นอาบัติต่อไปเรื่อย ๆ ความเสียหายมันไม่ได้อยู่ที่การจับเงิน แต่มันอยู่ที่การใช้เงินไปทำอะไรต่างหาก สิ่งที่ทำนั้น ผิดหรือถูกพระวินัยหรือไม่อย่างไร? การจับเงินเป็นความผิดทางด้านพระวินัยที่สามารถแก้ไขได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็มิได้ทรงลงโทษถึงขั้นประหาร พวกเราชาวพุทธก็จงอย่าได้ไปด่าว่าเหยียดหยามประณามท่านให้เกินเลยกว่าเหตุ ถึงท่านจับเงิน ท่านก็ยังเป็นกุลบุตรพุทธชิโนรสอยู่ ตราบเท่าที่ยังมิได้เป็นอาบัติปาราชิก การด่าพระ ว่าพระ ไม่ช่วยทำให้ศาสนาพุทธเจริญในใจของผู้ใดได้เลย จะมีแต่ความเสื่อมไปเรื่อย ๆ

.ผู้ดีมีธรรมท่านจะไม่ด่าพระ ไม่ว่าพระให้เสียหายหรอกนะ เพราะมันไม่เกิดประโยชน์ มีแต่จะทำให้ใจตัวเองเศร้าหมองนั้นแน่นัก ยิ่งถ้าไปโกรธพระ ความโกรธย่อมเป็นไฟเผาใจตัวเองก่อน หากวันหนึ่งถ้าเราได้บวชเป็นพระ เราก็จะถูกคนด่าอย่างนั้นบ้าง เพราะกรรมไม่เคยให้ผลลำเอียงแก่ผู้ใด ถ้าตายเสียในระหว่างที่โกรธพระ ด่าพระ หรือนึกถึงคราใด ก็จักเป็นเหตุให้เกิดความเศร้าหมองใจมีทุคติอบายเป็นที่ไปเบื้องหน้า เว้นไว้แต่ผู้ที่เป็นอาบัติปาราชิกขาดจากความเป็นพระแล้ว แต่ไม่ยังไม่ยอมสละสมณเพศ หากรู้แน่แก่ใจชัดเจนแล้ว อดใจไม่ไหวจะด่าจะว่าบ้างก็ไม่สู้กระไรนัก ด่าพอสมควรแล้ว ก็ช่วยกันชำระมลทินให้แก่พระศาสนาด้วย ด่าเฉย ๆ ก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าด่าแล้วเกิดความโกรธขึ้นมา ใจตัวเองก็เศร้าหมองเป็นเหตุให้ไปอบายได้

.สำหรับพระที่จับเงิน ก็เป็นเหตุทำให้ท่านภาวนาให้บรรลุคุณธรรมที่สูงไปกว่านี้ไม่ได้ เพราะศีลไม่บริสุทธิ์ เวลาท่านทำสังฆอุโบสถ ก็จงบอกแก่สงฆ์ว่า ท่านเป็นอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์เพราะจับเงิน ยังมิได้ทำคืน จงนั่งฟังพระปาติโมกข์อยู่นอกหัตถบาส ก็ไม่มีความผิดซ้ำเติมให้หนักมากขึ้น วันหนึ่งถ้าท่านเห็นโทษแห่งอาบัตินั้นด้วยปัญญา ท่านก็สามารถสละเงินทองที่จับ สละข้าวของที่ซื้อหามาได้ด้วยเงินนั้นต่อหน้าสงฆ์ แล้วปลงอาบัติต่อสงฆ์ ท่านก็ถึงความบริสุทธิ์ในพระวินัยได้

.พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงมีน้ำพระทัยเปี่ยมด้วยพระเมตตาอย่างหาประมาณมิได้ ทรงบัญญัติพระวินัยเพื่อปกป้องพระเณรจากการกระทำชั่ว หาได้มีเจตนาทำร้ายกุลบุตรของพระองค์ให้เจ็บช้ำตกระกำลำบากแต่อย่างใดไม่ จึงควรที่พวกเราชาวพุทธจะเข้าใจถึงน้ำพระทัยอันบริสุทธิ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เข้าใจถึงความยากลำบากของพระสงฆ์ ที่ท่านต้องสละทุกสิ่งทุกอย่างในทางโลก เข้ามาบวชปฏิบัติบำเพ็ญธรรมด้วยความแร้นแค้นลำบาก ก็เป็นธรรมดาที่หากท่านบารมีธรรมยังอ่อนอยู่ บางท่านก็ต้องล้มลุกคลุกคลานบ้าง เพราะต้านทานอำนาจกิเลสไม่ได้ ก็อาจถูกกิเลสย่ำยีให้ทำผิดพลาดไปบ้าง จงช่วยกันประคับประคองรักษาท่าน ให้ท่านดำรงอยู่ในสมณธรรมได้ ถ้าชาวพุทธกระทำตัวเป็นศัตรูกับพระ เห็นพระทำผิดบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ด่าว่าประหนึ่งท่านไม่ใช่พระเช่นนี้ แล้วศาสนาพุทธจะดำรงอยู่ได้อย่างไร เมื่อไรที่ชาวพุทธไม่เคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เมื่อนั้นชาวพุทธกำลังเหยียบย่ำทำลายศาสนาพุทธเสียเอง หากเป็นเช่นนี้ ต่อไปจะมีใครกล้าเข้ามาบวช แล้วจะเอาพระสงฆ์ที่ไหนมากราบไหว้ได้อีก

.จงดูนักมวยที่อยู่บนเวที เมื่อต่อสู้กันอยู่ พละกำลังฝีมือฝ่ายหนึ่งยังอ่อนอยู่ ก็สู้คู่ต่อสู้ไม่ได้ ก็ถูกคู่ต่อสู้ต่อยเตะจนล้มลุกคลุกคลาน พยายามแล้วมันสู้ไม่ไหว บางทีก็ถูกน็อคหามลงจากเวที ก็ทั้งเจ็บทั้งอาย แถมคนดู พี่เลี้ยง แทนที่จะเห็นอกเห็นใจให้กำลังใจ กลับโห่ร้องชี้หน้าด่าว่าเยาะเย้ย แล้วนักมวยที่ไหน จะมีกำลังใจฝึกฝนเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ ดีไม่ดีก็เลิกชกมวยไปเลย พระที่ท่านบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ก็เป็นเหมือนอย่างนั้น ท่านก็ต้องต่อสู้กับกิเลสในใจตน บางทีมันก็ทำได้ยาก ความตั้งใจดี มันก็มีกันทุกคนนั่นแหละ แต่กิเลสมันมีกำลังมากกว่า ก็ถูกมันต่อยเตะหัวคะมำไปบ้าง ถ้ายังไม่ถึงตาย ก็ต้องค่อย ๆ ลุกขึ้นฝึกฝนอบรมฟิตซ้อมกันไป จนกว่าอินทรีย์บารมีธรรมจะแก่กล้า ก็จึงพอจะเอาชนะกิเลสได้บ้างเป็นพัก ๆ ไป

.ศาสนาพุทธจะดำรงอยู่ได้ พุทธบริษัทต้องรักใคร่สามัคคีกัน เห็นพระทำผิดบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็อย่าเอาแต่คอยจ้องจับผิดจะประณามดุด่ากันท่าเดียว จงช่วยกันประคับประคองดูแลให้ท่านกลับประพฤติตัวเสียใหม่ด้วยอุบายอันชาญฉลาด สามารถทำให้ท่านกลับตัวจากผิดให้เป็นถูกได้ ดังนั้นจึงควร มิใช่ไปส่งเสริมให้ท่านกระทำผิดหนักยิ่งขึ้นไปอีก หรือไปด่าว่าท่านเสีย ๆ หาย ๆ จนท่านอับอายน้อยใจละสิกขาลาเพศไป มันจะดีที่ไหนล่ะ พระเก่า พระแก่ ก็ค่อย ๆ ทะยอยตายไป พระหนุ่มเณรน้อยนี่แหละ ต่อไปท่านก็จะเป็นกำลังสำคัญในพระพุทธศาสนา อยากเห็นศาสนาพุทธเจริญตั้งมั่นอยู่นานไป จงช่วยกันอุปถัมภ์บำรุงพระสงฆ์องคเจ้าไว้ในทางที่ถูกที่ควรเถิด

.ฝากถึงผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านนี้เมืองนี้ หากพระท่านทำผิดกฎหมายจริง มีหลักฐานยืนยันชัดแจ้งว่า ท่านไม่ใช่พระแล้ว แต่ยังนุ่งห่มจีวรอยู่ จงทำการกวาดล้างเสียให้สิ้นซาก ทำความจริงให้ประจักษ์ เพื่อคลายข้อกังขาของชาวพุทธทุกคน หากมันผู้ใดขัดขวางกระบวนการยุติธรรม ก็กวาดล้างไปเสียทีเดียว ถือเป็นการชำระล้างสิ่งสกปรกโสโครกออกจากศาสนา ไม่ถือเป็นการผิด แต่เป็นการดีการชอบแท้ ถ้าชาวพุทธรักศาสนาพุทธ ทำเพื่อศาสนาพุทธ ก็จงรอดูกระบวนการยุติธรรม อย่าได้ตกเป็นเครื่องมือของพวกอลัชชี ที่กำลังยุแหย่ปลุกปั่นให้ชาวพุทธแตกกันอยู่ในขณะนี้

.แต่ถ้าพระท่านไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ไม่ได้เป็นอาบัติปาราชิก ก็จงคอยอุปถัมภ์บำรุงท่านให้ดำรงอยู่ในสมณเพศได้ ให้ท่านสามารถเจริญสมณธรรมไปได้ด้วยดีเถิด แม้ท่านจะปฏิบัติดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ล้มลุกคลุกคลานบ้าง ก็ช่วยกันประคับประคองลากจูงกันไป วันหนึ่งก็จะไปถึงจุดหมายปลายทางได้ตามความปรารถนา

.หากชาวพุทธตั้งตนอยู่ในศีลในธรรม ปฏิบัติตนอยู่ในมัชฌิมาปฏิปทาทำใจของตนให้เป็นสัมมาทิฏฐิ ตั้งมั่นในมรรคทั้ง ๘ ชาวพุทธก็จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระสงฆ์ ศาสนาพุทธจะไม่มีวันเสื่อมสลายไปจากประเทศไทยอย่างแน่นอน อย่ากลัวว่า ศาสนาอื่นจะมาทำลายศาสนาพุทธ อย่างที่เขากำลังปลุกระดมกัน จงกลัวใจตัวเองไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา นี่แหละ เป็นตัวทำลายศาสนาพุทธอย่างแท้จริง

.ดังนั้น ถ้าอยากเห็นศาสนาพุทธเจริญรุ่งเรืองในประเทศไทยตลอดไป จงทำใจตนเองให้เต็มเปี่ยมด้วยศีล สมาธิ ปัญญาเถิด จงทำไปตามกำลังความสามารถของแต่ละคน จะมากจะน้อยก็ทำกันไป นี่! จึงเป็นหลักประกันความเจริญของศาสนาพุทธอย่างยั่งยืน ถ้าใจของชาวพุทธไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา ศาสนาพุทธก็เสื่อมไปจากใจดวงนั้นหมดสิ้นแล้ว ไม่ต้องไปเรียกให้ศาสนาไหนมาทำลาย ศาสนาพุทธจะเจริญหรือเสื่อมก็อยู่ที่ใจของชาวพุทธนี่เอง ไม่มีใครจะมาทำให้ศาสนาพุทธเจริญหรือเสื่อมได้หรอก นอกจากชาวพุทธจะทำด้วยตัวเอง

ที่มา : ธรรมะจากครูบาอาจารย์