“กองปราบฯ” เตรียมลงพื้นที่ จ.ตราด สอบเจ้าอาวาส-พยานบุคคล หลังพบอดีตไวยาวัจกรวัดบวร ทุจริตเงินวัดสาขาเพิ่มอีก 2 แห่งในพื้นที่

0
278

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันพรุ่งนี้ ( 6 เม.ย.) เวลาประมาณ 09.00 น. ทีมคณะพนักงานสอบสวนกองปราบปรามฯ จะนำกำลังลงพื้นที่ยังวัดรัตนวราราม จ.ตราด อีกครั้ง เพื่อสอบปากคำพยานบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคดีโดยเฉพาะเจ้าอาวาสวัด และพระลูกวัด รวมถึงเจ้าของโรงโม่เพชรสยามศิลาตราด ซึ่งเป็นผู้ทำบัญชีของวัด เพื่อตรวจสอบข้อมูลรายละเอียดบัญชีการเงินของวัด หลังมีการตรวจสอบพบเพิ่มเติมว่า นายเนย (นามสมมติ) ได้มีการทุจริตยักยอกเงินวัดสาขาในพื้นที่ จ.ตราด อีก 2 วัด อาทิ วัดรัตนวราราม  และ วัดคีรีวิหาร ซึ่งเป็นงบจัดสร้างวัดรัตนวราราม 80 กว่าล้านบาท และ งบจัดสร้างโรงเรียนวัดคีรีวิหาร อีกกว่า10 ล้านบาท

ทั้งนี้จากการสอบถาม พระโสภณธรรมธาดา (หัน คุณวตฺโต) เจ้าอาวาสวัดคีรีวิหาร กล่าวถึงกรณีปรากฏข่าวเรื่องการทุจริตเงินพัฒนาวัดคีรีวิหาร และโรงเรียนคีรีวิหาร ว่า ไม่ทราบเรื่องนี้ เพิ่งมาทราบจากผู้สื่อข่าว ซึ่งสมเด็จวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) ท่านเป็นผู้เกิดที่ตำบลชำราก และบวชเรียนที่วัด และได้ไปเรียนที่วัดบวรนิเวศวิหาร และเมื่อเติบโตขึ้นและมีตำแหน่งทางสงฆ์จึงได้เดินทางมาพัฒนาวัดคีรีวิหารที่เคยได้บวชเเละเรียน ซึ่งมาดำเนินการเมื่อปี 2523 ด้วยการเดินทางมาและนำกฐินมาทอดอย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งได้มีการสร้างกุฏิ และบูรณะวัด และได้มีสร้างที่พักในบริเวณวัดซึ่งใช้เป็นที่พักของสมเด็จวันรัตเมื่อเดินทางมาที่จ.ตราด

“ส่วนเรื่องการนำเงินพัฒนาวัดและโรงเรียนนั้น อาตมาไม่ทราบเรื่องเงิน และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่ประการใดเพราะเป็นเงินคนละส่วนและไม่มีกรรมการวัดรับรู้ทั้งสิน ส่วนจะมีมาดำเนินการนั้นไม่รู้ ส่วนสถานที่ก่อสร้างโรงเรียนก็เป็นเพียงผู้จัดหาให้เท่านั้น” พระโสภณธรรมธาดา กล่าว

ขณะที่ผู้คุมงานก่อสร้าง (ไม่ขอเปิดเผยชื่อ) ที่กำลังคุมแรงงานก่อสร้างโรงอาหาร-โรงยิม โรงเรียนวัดคิรีวิหาร(สมเด็จพระวันรัต อุปถัมภ์) ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าว ว่า ตนเองเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของเจ้าประคุณ สมเด็จพระวันรัต เมื่อเวลามีการโครงการก่อสร้างของเจ้าประคุณ ตนเองก็จะเป็นได้รับความไว้วางใจให้เข้าคุมแรงงานก่อสร้าง โดยอาคารโรงเรียนวัดคิรีวิหารทั้งหมด ตนเองเป็นผู้คุมงานแรงงานก่อสร้างทุกหลัง และจะมีลูกศิษย์อีกคนหนึ่งของเจ้าประคุณ เข้ามาตรวจงานอีกรอบ ส่วนเรื่องงบประมาณในการก่อสร้างอาคารแต่ละหลังของโรงเรียนนั้นตนเองไม่รู้ยอดเงิน เพราะที่ผ่านมา เจ้าประคุณจะเบิกเงินมาจ่ายให้เองในแต่ละงวด จึงไม่มีปัญหาในเรื่องของการทุจริต แต่เมื่อเจ้าประคุณเข้ารักษาอาการอาพาธโรคมะเร็งถุงน้ำดี  เมื่อเดือนธันวาคม 2564 พบพฤติกรรม ที่นายเนยเขียนเช็คออกมาเพื่อนำเงินไปจ่ายตามโครงการก่อสร้างต่าง ๆ แต่ไม่ยอมนำไปให้เป็นลักษณะที่เก็บเช็คเอาไว้เอง

ทางด้านนายสุรศักดิ์ อิงประสาร หรือเสี่ยเพ่ง เจ้าของโรงโม่เพชรสยามศิลาตราด ผู้บริจาคที่ดิน 30 ไร่เพื่อก่อสร้างวัดรัตนวรารามว่า ส่วนตัวรู้จักสมเด็จพ่อ(สมเด็จพระวันรัต) เมื่อ 6 ปีผ่านมา และเมื่อทราบว่าท่านจะต้องการสร้างวัดจึงได้บริจาคที่ดินจำนวน 30 กว่าไร่เพื่อก่อสร้างวัดที่เรียกว่า วัดรัตนวราราม ซึ่งกว่าจะดำเนินการก่อสร้างได้ต้องขออนุญาตจากสำนักพุทธจังหวัดตราดเพื่อส่งไปยังส่วนกลาง ซึ่งเมื่อได้รับการอนุญาตแล้วได้ดำเนินการวางศิลาฤกษ์ โดยมีพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา มาเป็นประธาน หลังจากนั้น สมเด็จพ่อได้มอบหมายให้คนชื่อเนยและมงคลเข้ามาดูแลและโอนเงินเข้ามาในบัญชีของโรงโม่เพชรสยามศิลาตราดซึ่งการเบิกจ่ายต้องมี 3 คน ซึ่งตนเองก็เป็น 1 ในนั้น แต่จะไม่เคยไปเบิกจ่ายในธนาคาร เพราะจะมีผู้เบิกจ่ายแทน โดยเงินทั้งหมดที่ดำเนินการก่อสร้างมา 5-6  ปีนั้น ผ่านเข้าบัญชีจำนวน 134 ล้านบาท และก่อนที่สมเด็จพ่อจะเสียชีวิตนั้นได้มีการโอนเงินมาให้ 19 ล้านเพื่อดำเนินก่อสร้างในส่วนที่เหลืออีก 10%

“ที่ผ่านมาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการเบิกจ่ายเงินใดๆ และไม่มีส่วนร่วมการยักยอกเงินในครั้งนี้ เพราะว่า การเบิกเงินจะมีผู้รับรู้อยู่ 3 คน และการเบิกจ่ายจะใช้ 2 ใน 3 แต่ผมไม่เคยไปเบิกเลย เเต่เมื่อมีค่าใช้จ่ายเท่าไรก็จะแจ้งไปแล้วนำมาจ่าย ทั้งในเรื่องค่าแรง ค่าวัสดุก่อสร้าง หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ทั้งหมด ซึ่งเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มาก เพราะคนใกล้ชิดเป็นผู้กระทำ ซึ่งก่อนหน้านี้สมเด็จพ่อไม่เปรยมาขอให้เร่งสร้างให้เสร็จก่อนที่จะไม่ได้เห็นวัด ซึ่งก็ไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น แต่ก็ต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จตามเจตจำนงของสมเด็จพ่อให้ได้ โดยในวันที่ 6 เมษายน 2565  ทางผบก.ป. จะเดินทางมาพบที่โรงโม่หินเพชรสยามศิลาตราดเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งพร้อมที่จะให้ดำเนินการตรวจสอบทั้งหมดและมีหลักฐานที่จะให้ทางตำรวจกองปราบได้รับรู้ด้วย”