17 ปี หลวงพ่อพูล ความกตัญญูกตเวทีมิจางหาย

0
365

17 ปี หลวงพ่อพูล ความกตัญญูกตเวทีมิจางหาย

เจริญพรญาติโยมผู้อ่านทุกท่าน เมื่อ “จุดไฟในใจคน” ถึงมือผู้อ่าน ก็เป็นวาระสําคัญของทางวัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม เนื่องจากเป็นวาระครบรอบ 17 ปี การละสังขารของพระเดชพระคุณพระมงคลสิทธิการ หรือพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูล อตฺตรกโข พระอมตะเถราจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษแห่งเมืองนครปฐม พระมหาเถระผู้เป็นที่ยกย่องนับถือ ทั้งจากชาวนครปฐมและในที่อื่น ๆ และที่สําคัญที่สุด คือ เป็นบิดาทางธรรมของอาตมาเอง

พระเดชพระคุณหลวงพ่อพูลท่านเป็นพระที่มีผู้นับถือมาก แม้ท่านจะเป็นคนพูดน้อย แต่ก็เพราะคุณธรรมในเรื่อง ความเมตตาของท่านนั่นแหละที่แผ่ไปในทุกทิศจนเป็นที่ยอมรับโดยทั่วกัน ความเมตตาของท่านนี้ไม่มีกําแพงฐานะ ชนชั้น ทุกคนย่อมได้รับความเมตตาจากท่านเสมอกัน เพียงแค่เรียนท่าน ขอท่าน จะเป็นแม่ค้าธรรมดาท่านก็เมตตาช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ทุกคนล้วนเท่าเทียมกันในสายตาของหลวงพ่อจนได้ชื่อว่า พระผู้เมตตากับพ่อค้าแม่ค้า

แม้ท่านจะมีคุณวิเศษ มีวัตถุมงคลมากมายจนทุกวันนี้ก็ยัง เป็นที่ต้องการของนักสะสม แต่ท่านจะสอนกํากับไว้เสมอว่า นี่ ไม่ใช่ของไว้ให้งมงาย เป็นที่ระลึก ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ หากจะเกิดปาฏิหาริย์แล้วไซร้ นั่นมาจากจิตศรัทธาของท่านเอง นอกจากนี้ สิ่งที่อาตมาพูดเสมอว่า ให้ขยัน ซื่อสัตย์ อดทน รู้คุณคน ก็เป็นสิ่งที่ท่านถ่ายทอดมาตลอด และด้วยเหตุนี้เองที่หลวงพ่อนั้นท่านรักหนุมานมากที่สุด เพราะหนุมานมีคุณสมบัติครบทั้งสี่ประการ แล้วก็เป็นวัตถุมงคลชิ้นเอกของหลวงพ่อมาจนถึงทุกวันนี้

คุณวิเศษของท่านนั้นยังมีอีกมากมายกล่าวได้ไม่หมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวอาตมาเองซึ่งก็เป็นผู้ติดสอยห้อยตามท่านมาแต่ ยังบวชใหม่ ๆ เป็นพระน้ำฝน จนกระทั่งมาเป็นศิษย์ใกล้ชิดที่ได้รับความวางใจจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อให้กระทําการสําคัญต่าง ๆ ตามที่หลวงพ่อมอบหมายมาหลายสิ่งที่หลวงพ่อให้อาตมาไปกระทํา ชนิดที่อาจจะเรียกว่า หลวงพ่อปล่อยบินเดี่ยวก็ได้ อาตมาในฐานะพระเล็ก ๆ อาตมาเองก็มีความหวั่นอยู่ในใจ แต่หลวงพ่อจะให้กําลังใจอาตมาเสมอ ให้อาตมามั่นใจในการกระทํา เมื่อครูบาอาจารย์พูดแบบนั้น อาตมาก็ใจสู้ขึ้นมา จนแม้หลวงพ่อท่านจากไปแล้ว เสียงของหลวงพ่อก็ยังคงอยู่ในหัวอาตมาตลอด หลวงพ่อยังคงอยู่กับอาตมาเสมอ

จากวันนั้น วันที่หลวงพ่อจากไปในวันวิสาขบูชา ปีพุทธศักราช 2548 จากไปพร้อมกับหน้าที่ตามปกติของท่าน คือ การเจริญจิต ภาวนา แม้เวลานั้นท่านจะอยู่บนเตียงผู้ป่วย และวันนั้นก็เป็นวันไหว้ครูประจําปี ซึ่งจัดขึ้นทุกวันวิสาขบูชา นับว่าท่านได้มรณภาพในวันสําคัญยิ่งนี้ หลังจากนั้นผู้คนหลั่งไหลกันมาสักการะหลวงพ่อไม่ขาดสาย และเมื่อถึงคราวเปิดหีบบรรจุร่างหลวงพ่อ ก็พบความอัศจรรย์ที่ร่างหลวงพ่อนั้น ไม่เน่าไม่เปื่อยผิดกับร่างคนทั่วไป ยังคล้ายคนนอนหลับอยู่ จึงได้เชิญออกมา แล้วบรรจุในโลงแก้วให้ สาธุชนได้บูชาสักการะต่อไป จนบัดนี้ก็ 17 ปีแล้ว สรีระสังขารของท่านก็ยังคงอยู่ในสภาพเดิม เพิ่มเติมคือมีสีออกไปทางทองเป็นที่อัศจรรย์ ที่กล่าวเช่นนี้ได้เพราะทุกปีจะทําการเปลี่ยนผ้าครอง ไตรจีวรแก่สรีระสังขารหลวงพ่อ ประหนึ่งท่านยังมีชีวิตอยู่ เมื่อนําสรีระสังขารท่านมาทําความสะอาด ก็พบความเปลี่ยนแปลงอันน่า อัศจรรย์ดังกล่าว

วันนี้ สรีระสังขารของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูล ประดิษฐานอยู่ในศาลาทองคํา ด้านข้างวิหารพระพุทธเมตตา อยู่ในโลงแก้วซึ่งมีรูปเหมือนพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูลนั่งถือโลงแก้วนั้นอยู่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อนั้นนั่งอยู่บนหนุมานขนาดใหญ่ เป็นไปตามนิมิตที่ได้เห็น อาตมาก็นํามาทําเป็นความจริง หลวงพ่อนั่งบนหนุมาน หนุมานคือตัวแทนแห่งความกตัญญู เป็นตัวแทนแห่งความขยัน ซื่อสัตย์ อดทน รู้คุณคน หนุมานเป็นเช่นนั้น แท้จริงแล้วศาลาหลังนี้ก็คือศาลาดั้งเดิมเลยที่ตั้งสรีระสังขารของหลวงพ่อ นับตั้งแต่ปี 2548 แต่ด้วยแรงศรัทธาสาธุชน ศาลานี้ก็ได้กลายเป็น ศาลาทองคํา ประดับกระเบื้องโมเสกทอง ประดิษฐานรูปเหมือน และโลงแก้ว ด้านหลังมีภาพประติมากรรมนูนต่ำเทพชุมนุม ให้ความรู้สึกดุจอยู่ในวิมานสวรรค์ อันมีเทพเจ้าและครูบาอาจารย์ประทับอยู่ เป็นสิริมงคลแก่ผู้เข้ามาเยือน มากราบไหว้ทุกคน และในอนาคตจะมีพระพุทธรูปทองคําแท้ปางเปิดโลก ประดิษฐานใน มณฑปเบื้องบนของหลวงพ่อ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างการจัดสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จเร็ว ๆ นี้

ในปี 2565 พิธีเปลี่ยนผ้าครองสรีระสังขารพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูล และลงกระหม่อมในวันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เป็นวาระประจําปีอีกอย่างหนึ่งซึ่งศิษยานุศิษย์ทั้งหลายจะได้มารวมตัวกันแสดงกตัญญูกตเวที กระทําอย่างครั้งพระเดชพระคุณหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ ก่อนที่ในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ.2565 จะจัดพิธีไหว้ครูบูรพาจารย์ ครอบครูเศียรท้าวเวสสุวรรณ ตามอย่างที่พระเดชพระคุณหลวง พ่อได้ปฏิบัติมา

นับว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้ ตั้งอยู่บนความกตัญญูกตเวที คือ รู้ ในพระคุณ และทําการตอบแทนพระคุณ ไม่ว่าจะขณะท่านยังมีชีวิตอยู่ หรือเมื่อท่านได้จากไปแล้ว ภาษิตว่า ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี หากเราอยากเป็นคนดี สิ่งหนึ่งที่ต้องมีคือ ความกตัญญูรู้คุณคน จะนําไปสู่ความเจริญ เพราะเราถือว่า ยังมี บุคคลจํานวนมากที่ทําให้เราประสบความสําเร็จ เป็นคนมาหนึ่งคนนี้ได้ คนเหล่านี้เป็นผู้มีพระคุณแก่เรา และเมื่อมีพระคุณแล้ว เราก็พึงแสดงการตอบแทนพระคุณท่านอันเป็นสิ่งน่าสรรเสริญ เป็น คุณธรรมที่เราควรจะมีในหัวใจเราทุกคน

 

หลวงพี่น้ำฝน : 11 พฤษภาคม 2565

*****************************************************************