เขย่า “เทวัญ” ไม่จบ!! พระเถระ ชี้ “ราชบัณฑิต” ยังแยกแยะไม่ออก พระปกติลาสิกขากับพระต้องคดีอาญาขั้นปาราชิก ควรรอพ้นมลทินก่อน

0
872

 

ประเด็นศาสตราจารย์ (พิเศษ) จำนงค์ ทองประเสริฐ ราชบัณฑิต ออกมาติงนายเทวัญ ลิปตพลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งาติ(พศ.) ปมพระชั้นผู้ใหญ่ติดคุกเกี่ยวกับเงินทอนวัดขาดสมณเพศแล้ว  โดยอ้างพศ.ที่ให้เหตุผลว่า เมื่อเข้าไปอยู่ในเรือนจำแล้วก็เท่ากับเป็นการสึก และแม้ได้รับการประกันตัวออกมาสู้คดี สมณเพศก็ได้ขาดไปแล้ว ตนมีความกังวลใจว่า รัฐมนตรีที่กำกับดูแลศาสนาพุทธ ถ้าเข้าใจคลาดเคลื่อนจากหลัก ก็จะเสียหลัก จะเกิดความเสียหายต่อพระพุทธศาสนาได้ เพราะพศ.ที่อ้างนั้นไม่ได้เข้าใจพระธรรมวินัย ในเรื่องการสละสมณเพศกับการลาสิกขาที่ถูกต้อง การลาสิกขาของพระนั้น จะถือว่าลาสิกขาโดยเสร็จสิ้นสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อพระภิกษุรูปนั้นได้กล่าวคำลาสิกขาตามที่พระธรรมวินัยบัญญัติไว้เท่านั้น ต้องเป็นการกล่าวต่อหน้าผู้รู้ความ เข้าใจความ และรู้ภาษาความหมายในคำกล่าวนั้น และเป็นการกระทำในขณะมีสภาพจิตใจเป็นปกติ ไม่ได้ถูกบังคับ ขู่เข็ญขืนใจ รายละเอียดตามที่เป็นข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้า วันนี้ (13 ก.ย.62) พระชั้นผู้ใหญ่สายปฏิบัติ (ขอสงวนนาม) ได้ออกมาแสดงโดยธรรมว่า ราชบัณฑิตก็ไม่รู้พระวินัย ยังแยกแยะไม่ออก ระหว่างพระเป็นปกติประสงค์ลาสิกขา กับพระต้องคดีอาญาถึงขั้นปาราชิก เป็นคนละกรณีกัน ที่เขาพูดระเบียบในการลาสิกขานั้น ใช้ในกรณีพระเป็นปกติที่ต้องการลาสิกขา ก็ทำอย่างที่เขาพูดนั้นถูกแล้ว แต่พระที่ต้องคดีเงินทอนวัด เป็นคดีอาญาผิดกฎหมายบ้านเมือง ถ้าผิดกฎหมายก็ทะลุเลยพระวินัยไปแล้ว ถึงขั้นมีคำสั่งศาลออกหมายจับ ถึงขั้นติดคุก แม้ไม่กล่าวคำลาสิกขา แต่การเปลี่ยนเครื่องแต่งกายสวมใส่ชุดนักโทษอยู่ในเรือนจำ ขาดวัตรปฏิบัติ ผลก็คือการสละสมณเพศอยู่ในตัว อีกทั้งยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ตัวเองบริสุทธิ์จากข้อกล่าวหาหรือไม่ เป็นเพียงได้รับประกันให้ปล่อยตัวชั่วคราว แต่ตัวเองย่อมรู้ดีอยู่ว่า เป็นปาราชิกหรือไม่ ภิกษุเป็นปาราชิก ไม่ต้องกล่าวคำลาสิกขาใด ๆ อีกแล้ว การขาดจากความเป็นพระย่อมสมบูรณ์นับจากวันที่ต้องอาบัตินี้

พระชั้นผู้ใหญ่รูปดังกล่าว ยังกล่าวอีกว่า ถ้าสงฆ์ต้องการปกป้องพระธรรมวินัยจริง ก็ควรรอพิสูจน์ให้ได้เสียก่อนว่า พระพ้นมลทินไม่ได้ผิดตามข้อกล่าวหา  และในระหว่างจำคุกตนยังคงรักษาวัตรปฏิบัติของพระไว้ได้สมบูรณ์ ถ้าสงฆ์เห็นชอบจึงรับเข้าหมู่ ไม่ใช่เอาตามความเห็นของใครคนหนึ่งอย่างที่เป็นข่าว ถ้าสงฆ์รับเข้าหมู่แล้ว พระถูกศาลตัดสินว่าผิดจริง คงได้ถอดจีวรซ้ำ ๆ ซาก ๆ จะมิเป็นการชื่อว่าสงฆ์ทำความพยายามที่จะปกป้องอลัชชีเองหรอกหรือ สงฆ์อลัชชีจึงคิดปกป้องพระอลัชชีด้วยกัน เรื่องก็เท่านั้นเอง ถ้าสงฆ์คิดจะปกป้องพระธรรมวินัยจริง ก็ควรรอให้คดีความถึงที่สุดเสียก่อน แล้วค่อยมาพิจารณาว่า ยังมีวัตรปฏิบัติของพระหลงเหลืออยู่ควรแก่การกลับมานุ่งห่มจีวรได้หรือไม่ กับการให้เข้าพิธีอุปสมบทเสียใหม่อย่างไหนจะบริสุทธิ์ดีกว่ากัน ถ้าสงฆ์ปรารถนาจะปกป้องพระธรรมวินัยจริง ควรกระทำอย่างที่กล่าวมานี้