ราชบัณฑิต ติง “เทวัญ” ยันพระชั้นผู้ใหญ่คดีเงินทอนวัด ยังอยู่ในสมณเพศ ชี้การลาสิกขาจะสมบูรณ์ต้องตามพระธรรมวินัย

0
986

หวั่นเข้าใจคลาดเคลื่อนจากหลักการ จะเสียหลัก เสียหายต่อพระพุทธศาสนา ถ้าไม่เข้าใจพระธรรมวินัย ย่อมไม่สามารถบริหารราชการกำกับดูแลพศ.ได้

วันนี้ (12 ก.ย.62)  ศาสตราจารย์ จำนงค์ ทองประเสริฐ ราชบัณฑิต กล่าวว่า ได้เห็นข่าวนายเทวัญ ลิปตพลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งาติ(พศ.) ให้สัมภาษณ์ว่า พระชั้นผู้ใหญ่ติดคุกปมเงินทอนวัดนั้นขาดสมณเพศแล้ว  โดยอ้างพศ.ที่ให้เหตุผลว่า เมื่อเข้าไปอยู่ในเรือนจำแล้วก็เท่ากับเป็นการสึก และแม้ได้รับการประกันตัวออกมาสู้คดี สมณเพศก็ได้ขาดไปแล้ว ตนมีความกังวลใจว่า รัฐมนตรีที่กำกับดูแลศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไทย ถ้าเข้าใจคลาดเคลื่อนจากหลัก ก็จะเสียหลัก จะเกิดความเสียหายต่อพระพุทธศาสนาได้ เพราะพศ.ที่อ้างนั้น ก็ไม่ได้เข้าใจพระธรรมวินัย ในเรื่องการสละสมณเพศกับการลาสิกขาที่ถูกต้อง การลาสิกขาของพระนั้น จะถือว่าลาสิกขาโดยเสร็จสิ้นสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อพระภิกษุรูปนั้นได้กล่าวคำลาสิกขาตามที่พระธรรมวินัยบัญญัติไว้เท่านั้น ต้องเป็นการกล่าวต่อหน้าผู้รู้ความ เข้าใจความ และรู้ภาษาความหมายในคำกล่าวนั้น และเป็นการกระทำในขณะมีสภาพจิตใจเป็นปกติ ไม่ได้ถูกบังคับ ขู่เข็ญขืนใจ ดังนี้ 1.ท่านเบื่อความเป็นพระแล้ว มีจิตที่จะลาสิกขา และท่านต้องตัดสินใจด้วยตนเองว่าจะลาขาดจากความเป็นพระภิกษุ 2.ต้องเป็นการกล่าวคำลาสิกขาตามขอบเขตที่พระวินัยกำหนดไว้ และต้องเข้าใจความหมายในคำกล่าวนั้นด้วย 3.ต้องเป็นการกล่าวคำลาสิกขา ณ ปัจจุบันเท่านั้น จะไปอ้างเอาคำกล่าวในอดีตหรืออนาคตมาพูดไม่ได้ 4.ท่านต้องเปล่งวาจาลาสิกขาด้วยตนเอง ไม่ใช่ให้ตำรวจ หรือใครพูดแทน 5.พระภิกษุที่ลาสิกขา และผู้รับการลาสิกขา ต้องมีสภาพจิตใจเป็นปกติ เข้าใจและรู้ความหมายในคำกล่าวลาสิกขา และบุคคลทั้งสองนั้นต้องไม่มีเวทนาหรือถูกบังคับบีบคั้นขู่เข็ญคุกคามขืนใจ 6.ต้องเป็นการกล่าวเจาะจงเฉพาะต่อหน้า และผู้อยู่ในสถานที่ลาสิกขาเข้าใจความหมาย การลาสิกขาจึงจะสมบูรณ์ทันที แต่ถ้าบุคคลเหล่านั้นฟังแล้วยังมึนงง ไม่เข้าใจว่า พูดอะไร ไม่ถือว่าเป็นการลาสิกขา ความเป็นพระภิกษุยังคงมีอยู่

ศ.จำนงค์ กล่าวต่อไปว่า ในประเทศไทยถือกันมาว่า การลาสิกขาจะทำต่อหน้าพระภิกษุด้วยกันเท่านั้น  จะทำต่อหน้าฆราวาส  เช่น ตำรวจ หรือบุคคลอื่นใด ไม่นับว่าเป็นการลาสิกขา ก่อนลาสิกขาต้องแจ้งพระอุปัชฌาย์ให้อนุญาตก่อน ถ้าพระอุปัชฌาย์ไม่อยู่ก็เป็นอาจารย์ผู้ปกครอง ถ้ามิเช่นนั้น ก็ถือว่า หนีสึก เอาผ้าจีวรไปฝากไว้ตามเจดีย์ ตามต้นโพธิ์ ตนจึงไม่สบายใจถ้าพศ.และรัฐมนตรีที่กำกับดูแลพศ. มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ไม่เข้าใจพระธรรมวินัยอย่างถ่องแท้ เพราะพศ.ถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและปกป้องคุ้มครองให้พุทธบริษัทของพระพุทธศาสนายืนหยัดอยู่คู่สังคมไทยไปอีกนาน ผู้บริหารที่ไม่เข้าใจวัฒนธรรม ไม่เข้าใจจารีตประเพณี ไม่เข้าใจพระธรรมวินัย ย่อมไม่สามารถบริหารราชการกำกับดูแลพศ.ได้