“พระสังฆราช” ทรงเน้นย้ำ กม.เป็นบรรทัดฐานที่หนักที่สุดของสังคม พระสังฆาธิการก็ไม่ยกเว้น “รมต.สุวพันธุ์” ชี้เงินทอนวัด รบ.แก้ปัญหาบนข้อเท็จจริง

0
1124

สำนักข่าว thairnews – วันนี้ (7 พ.ค.2561) สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อัมพร อมฺพโร) เสด็จเป็นประธานเปิดการประชุมพระสังฆาธิการทั่วประเทศ ตามมติมหาเถรสมาคม(มส.) ครั้งที่ 7/2561 ณ หอประชุมพุทธมณฑล อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม มีพระสังฆาธิการตั้งแต่ระดับเจ้าคณะใหญ่หน เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวัด เลขานุการเจ้าคณะจังหวัด และผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด(พศจ.) ทั่วประเทศ เข้าร่วมประชุม โอกาสนี้ สมเด็จพระสังฆราช ทรงประทานพระโอวาทเปิดการประชุมว่า “สมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานพระราโชบายไว้เป็นแนวทางการดำเนินงานของคณะสงฆ์ ว่า  “พัฒนาความรู้และคุณภาพพระสงฆ์ ให้เป็นหลักทางใจของประชาชน ให้พระมีความสำนึกและเป็นประโยชน์ในสังคมไทย” มหาเถรสมาคม รับสนองพระราโชบายนี้ด้วยการประกาศเน้นย้ำให้พระสังฆาธิการ เจ้าอาวาส พระอุปัชฌาย์ และพระเถระทั้งหลาย เอาใจใส่ในการคัดกรองบุคคลผู้จะมาบรรพชาอุปสมบท การอบรมสั่งสอบพระภิกษุสามเณรในปกครอง และการกวดขันผู้อยู่ในปกครองหรือผู้เป็นศิษย์ให้ดำรงตนในกฎระเบียบ และพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ดังที่ท่านคงทราบกันดีอยู่แล้ว

อันที่จริง ท่านเจ้าคณะพระสังฆาธิการที่มาประชุมพร้อมเพรียงกันที่นี้ ย่อมทราบดีว่าท่านเป็น “เจ้าพนักงาน” ตามกฎหมาย ในกฎหมายของบ้านเมืองนั้น ถ้าบุคคลใดมีตำแหน่งหน้าที่เป็นเจ้าพนักงาน ก็ย่อมอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกัน คือถ้าปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ บุคคลผู้เป็นเจ้าพนักงานก็ย่อมต้องได้รับผลร้ายตามกฎหมายของบ้านเมืองอย่างไม่มียกเว้น กฎหมายนั้นนับเป็นบรรทัดฐานที่หนักที่สุดของสังคม ถ้าไม่ปฏิบัติตาม หรือฝ่าฝืน ก็ต้องได้รับโทษตามบทบัญญัติ ในขณะเดียวกัน เราทั้งหลายก็ล้วนเป็นบรรพชิต ยังมีบรรทัดฐานอีกระดับหนึ่งที่เรียกว่า “พระธรรมวินัย” คอยกำกับความประพฤติไว้ พระภิกษุสามเณรนั้น ถ้าดำรงตนอยู่ในพระธรรมวินัยได้ ก็ไม่ต้องไปวิตกกังวลใดๆ เลยว่ากฎหมายบ้านเมืองจะมาส่งผลร้ายอะไรแก่ตัวท่าน สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงวางระเบียบแบบแผนการวางตนของบรรพชิตทั้งในฐานะที่เป็นปัจเจกบุคคล และในฐานะที่จะมีความสัมพันธ์กันในหมู่คณะที่เรียกว่าคณะสงฆ์ ไว้อย่างครบถ้วนงดงามทุกสถานแล้ว

ในการประชุมเจ้าคณะพระสังฆาธิการทั่วประเทศในครั้งนี้ ผมจึงขอย้ำเตือนให้ทุกท่านได้ศึกษาทบทวน ปฏิบัติการ และกวดขันผู้อยู่ในปกครองให้อยู่ภายใต้พระธรรมวินัย กฎหมาย กฎ ระเบียบ คำสั่งอย่างเคร่งครัด และให้ท่านยึดถือปฏิบัติตามจริยาพระสังฆาธิการอย่างมั่นคง เพื่อช่วยกันรักษาเชิดชูคณะสงฆ์ของเรา จรรโลงพุทธจักรของเราให้สถาพรมั่นคงเป็นหลักอยู่คู่ราชอาณาจักรไทย สมพระราชประสงค์ของสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐตลอดกาลนาน”

ด้านนพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี กล่าวว่า  การศึกษาเป็นเรื่องที่จำเป็นมากสำหรับคณะสงฆ์ แต่สิ่งที่ตนเป็นห่วงมากขณะนี้ คือ โซเชียลมีเดีย ที่มีทั้งคุณและโทษ โดยเฉพาะโทษที่ส่งผลต่อเด็ก เยาวชน รวมถึงพระภิกษุ สามเณร ทั้งเรื่องของทัศนคติ รวมถึงสื่อที่ไม่เหมาะสมที่เข้าถึงได้ง่าย อาทิ สื่อลามกอนาจาร การให้ความรู้เกี่ยวกับการไม่นับถือศาสนาที่จะส่งผลต่อศีลธรรม เป็นเรื่องที่น่าห่วง จึงขอฝากทางคณะสงฆ์ให้ช่วยกันสร้างศีลธรรมสู่เด็กและเยาวชน ครู ผู้ปกครอง เพื่อที่จะมีภูมิคุ้มกันในการที่จะเป็นเกราะคุ้มครองจากโซเชียลมีเดียที่จะมาทำร้ายได้ นอกจากนี้ ตนได้ยินเสียงตอบรับจากพุทธศาสนิกชนที่ชื่นชอบมติมส.ที่ส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนได้บวช 15-30 วัน และมีหลักสูตรให้พระบวชใหม่ที่ชัดเจน ไม่เน้นการบวชแก้บน ซึ่งถือเป็นประโยชน์ต่อการบวช เพื่อศึกษาหาความรู้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาอย่าจริงจังมากขึ้น รวมถึงการจัดระเบียบห้ามจำหน่ายวัตถุมงคลในพระอุโบสถ หรืออุโบสถ เพราะถือว่า เป็นสถานที่ให้สงฆ์ทำสังฆกรรม นับเป็นสิ่งที่ประชาชนชื่นชมต่อคณะสงฆ์เป็นอย่างมาก

นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลพศ. กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายร่วมมือกับคณะสงฆ์ในหลายมิติ ทั้งสนองงาน ส่งเสริมการปฏิรูปให้พระพุทธศาสนาเกิดความรุ่งเรืองตามปณิธานของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งขณะนี้แผนปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา ถือว่ามีความคืบหน้ามาก โดยรัฐบาลเห็นว่า การปฏิรูปจากภายในเป็นเรื่องสำคัญที่สุด รวมทั้งขอให้คณะสงฆ์ยึดแนวทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย 2 ประการ คือ 1.รักษาศรัทธาให้มั่นคงตามหลักธรรมคำสอนให้ยั่นยืน 2.ปฏิรูปให้พระสงฆ์และพระพุทธศาสนาเป็นที่พึ่งทางใจของประชาชน นอกจากนี้ปัญหาที่คณะสงฆ์พบ คือ เรื่องการบริหารจัดการ ถือว่า เป็นจุดอ่อนขององค์กรที่จะต้องมีการปรับ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสตรวจสอบได้

ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงความคืบหน้าการตรวจสอบเงินทอนวัดว่า มีความคืบหน้าอย่างไร นายสุวพันธุ์ กล่าวว่า ทุกเรื่องขณะนี้อยู่ภายใต้การตรวจสอบของหน่วยงานกลางตั้งแต่ ปปท. ปปป.ตร. ป.ป.ช. ซึ่งทำอยู่ตลอด ส่วนรายชื่อวัดจะมีเพิ่มหรือไม่นั้น ตนยังไม่ทราบรายละเอียด สำหรับกรณีมีชื่อพระเถระเข้ามาเกี่ยวข้องในคดีต่างๆ นั้น ตนเชื่อในพื้นฐานของข้อเท็จจริง ปล่อยให้ระบบตรวจสอบดำเนินการไป และการดำเนินการอะไร ต้องดูว่า เรื่องของกฎหมาย เรื่องของพระธรรมวินัยไปถึงตรงไหน จะมาบอกว่า ต้องทำหนึ่งสองสามสี่เลยทันทีไม่ได้ เพราะมีระเบียบกฎเกณฑ์ในการปฏิบัติ ทุกอย่างขอให้มั่นใจว่า ทุกเรื่องจะอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง รัฐบาลจะแก้ไขปัญหาบนข้อเท็จจริง