กรณีฉาว.!!! แต่งตั้งเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา ( ตอนจบ )

0
3239

 

กรณีฉาว.!!! แต่งตั้งเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา ( ตอนจบ )

               

ประเด็นร้อน!!! กรณีแต่งตั้งเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา มาถึงนาทีนี้ดูจะเผ็ดร้อนเข้มข้นมากขึ้น ส่อให้เห็นยุทธจักรสงฆ์ที่มีอะไรๆ ไม่แพ้ยุทธจักรทางโลก ในที่นี้เฉพาะกรณีนี้เท่านั้นนะ ไม่เหมารวมถึงหมู่คณะสงฆ์ “สะระณัง คัจฉามิ” ซึ่งส่วนใหญ่ท่านจะไม่มีจริตนิสัยเกลือกกลั้วกิเลส

หากเป็นพระสงฆ์ผู้ทรงศีล 227 มุ่งเพียรความหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะเรื่องราวของ “กรณีฉาว…” ก็ไม่ขยายบานปลายไปถึงขนาดนี้ ซึ่งล่าสุดถึงกับกล้าบ้าบิ่นเผยตัวเผยตนออกมาให้เห็นถึงความโสมม “ปูดความเท็จ” ใส่ร้ายป้ายสีผู้ทรงศีลชรา โดยในที่นี้จำต้องแฉให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ตามที่มีการออกมาให้สัมภาษณ์กับนักข่าวทำนองว่า มีการคัดค้านมติมหาเถรสมาคมที่แต่งตั้งเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา และยังมีการอ้างเหตุผล สมเด็จพระสังฆราชไม่ได้ทรงเข้าประชุม และเป็นการแต่งตั้งแบบข้ามหัวนั้น ในการประชุมทุกครั้งสมเด็จพระสังฆราชไม่จำเป็นต้องเข้าประชุม…..

แสดงถึงความกะล่อน ด้วยความจริงแล้ว พระธรรมมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดโสธร อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา มีหนังสือกราบทูลถึงสมเด็จพระสังฆราชเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2560 ก่อนวันประชุมมหาเถรในวันที่ 20 กรกฎาคม 2560 ระยะห่างถึง 23 วัน จึงมิใช่คัดค้านมติมหาเถรแต่ประการใด

หวังผลให้ต้องโทษ กระทำการโดยไม่บังควรใช่ไหมล่ะ ??

ถ้อยคำต่อมา “การแต่งตั้งเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทราครั้งนี้ ถูกต้องสมบูรณ์   ดังนั้น ข้อกล่าวหาแต่งตั้งเจ้าคณะจังหวัดไม่ถูกต้องตามกฎมหาเถรฯ จึงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด” เป็นคำพูดของผู้ต้องรับผิดชอบต่อกรณีนี้ตรงตัว ซึ่งต่อจากนี้ “ณ. หนูแก้ว” จะเปิดเอกสารลับให้ได้รู้ได้เห็นโดยทั่วกันว่า กระบวนการขั้นตอนนั้น เริ่มผิดปกติมาแต่เมื่อใด อาจต้องยืมคำพูดของใครบางคนที่ว่า “เมื่อติดกระดุมเม็ดแรกผิด หากยังขืนติดต่อไปกระดุมเม็ดถัดๆ ไปก็ผิดทั้งแถว”  

ตามภาพ หนังสือการประชุมมหาเถร วาระที่ 6 เรื่องเสนอเพื่อพิจารณา เรื่อง การปกครองสงฆ์ 6.1.1 เรื่อง ขอคืนตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรวาราราม จังหวัดฉะเชิงเทรา ความเป็นมาดังรายละเอียดที่เห็นซึ่งล้วนแต่เอ่ยถึงความดีความชอบของพระภิกษุที่ถูกคณะกรรมการสอบสวนอธิกรณ์วินิจฉัยว่า ละเมิดจริยาอย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่การคณะสงฆ์ก็จริง แต่ด้วยคุณงามความดีและเหตุผลดังที่สรรเสริญเยินยอมาทั้งหมด จึงเห็นสมควรได้รับความปราณี ให้มีความผิดสถานเบา คือ ตำหนิโทษเป็นลายลักษณ์อักษร รวมเวลา 3 ปี เพื่อให้เกิดสำนึก และเมื่อเวลาผ่านพ้นมา 5 ปีแล้ว จึงสมควรคืนตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสให้แก่พระสังฆาธิการทั้ง 7 รูป พร้อมกับมีบัญชาให้สำนักพุทธนำเสนอมหาเถรสมาคมเพื่อพิจารณา

อ้าว ? ก็น่าจะดีอยู่แล้ว ถูกลงโทษสถานเบาแล้ว อธิกรณ์ก็ควรจะจบกันไป แต่ไม่เป็นเช่นนั้น ดังที่ว่าติดกระดุมผิดเม็ดแรก เม็ดต่อๆ ไปก็ผิด ผิดตรงไหน ? ก็ในเมื่อเจ้าคณะปกครองระดับเหนือขึ้นไปไม่มีอำนาจตามกฎมส.ที่จะพิจารณาวินิจฉัยความผิดข้ออธิกรณ์ให้ขัดหรือแย้งกับองค์คณะ 7 รูปที่ดำเนินมาโดยถูกต้อง เท่ากับใช้อำนาจที่ตนไม่มี ( ไม่บังอาจใช้คำว่า “อำนาจเถื่อน” ) มาฟอกดำให้เป็นขาว หรือโทษหนักให้เป็นเบา มีอคติ เนื่องจากข้อบัญญัติฐานละเมิดจริยาตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 24 (พ.ศ.2541) ข้อ 54 เขียนว่า  พระสังฆาธิการรูปใดประพฤติละเมิดจริยา  ข้อ 55  การถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่นั้น จะทำได้ต่อเมื่อพระสังฆาธิการละเมิดจริยาอย่างร้ายแรง แม้ข้อใดข้อหนึ่ง  ดังต่อไปนี้  (3)  ขัดคำสั่งอันชอบด้วยการคณะสงฆ์  และการขัดคำสั่งนั้นเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่การคณะสงฆ์  (5)  ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ในกรณีเช่นนี้ “ผู้มีอำนาจแต่งตั้ง”  เมื่อได้สอบสวนและได้ความจริงตามรายงานนั้นแล้ว  ให้ผู้มีอำนาจแต่งตั้งสั่งถอดถอนตำแหน่งหน้าที่ได้

ย้ำอีกครั้ง !! “ผู้มีอำนาจแต่งตั้ง” หรือถอดถอนคือ “มหาเถร” เพราะเป็นอารามหลวง

ที่บูรพาจารย์ท่านบัญญัติไว้เช่นนี้ ก็เพื่อให้คณะสงฆ์ถือปฏิบัติให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยดีงามในการปกครองสงฆ์ โดยมิได้ห้ามแต่งตั้งคณะกรรมการเป็นองค์คณะมาพิจารณาอธิกรณ์ อีกทั้งมิได้ให้อำนาจผู้ปกครองระดับเหนือขึ้นไปวินิจฉัยอธิกรณ์เสียเอง

ข้อนี้ พระมหาเถรกรรมการมหาเถรสมาคมทุกรูปต่างก็รู้ลึก เมื่อมีการนำเสนอต่อที่ประชุมมหาเถรในวันนั้น หนังสือภายในฉบับหนึ่งจึงตกถึงมือกรรมการมหาเถรทุกรูปในวันถัดมา มีความว่า เรื่อง ขอคืนตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรทั้ง 7 รูป เรียนมหาเถรสมาคมทุกรูป

“ในการประชุมมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ 30 ต.ค. 57 ซึ่งมีเรื่องคืนตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรทั้ง 7 รูป โดย….(ปกปิด) เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก ซึ่งพระพรหมมุนี ได้ชี้แจงว่าไม่เกี่ยวกับมหาเถรสมาคม เพราะมติมหาเถรสมาคมที่ได้เสนอการพักตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรนั้น เพียงให้มหาเถรสมาคมรับทราบเท่านั้น และพระพรหมดิลกได้เสนอว่า ตามกฎมหาเถรสมาคมสมควรให้กลับไปเป็นอำนาจของเจ้าอาวาสเอาเพียงท่อนนี้ก่อน

 

ชี้ชัดได้ว่า มหาเถรสมาคมไม่ได้มีมติให้คืนตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธร เพียงแต่รับทราบตามที่เสนอเท่านั้น และที่ประชุมยังเสนอให้การคืนตำแหน่งนั้นเป็นอำนาจของเจ้าอาวาสวัดโสธร (เมื่อมีอำนาจสั่งพัก-ก็มีอำนาจสั่งคืนตำแหน่ง) จากนั้นก็ไม่มีการคืนเรื่องเสนอไปยังเจ้าอาววาสวัดโสธร เพื่อพิจารณาคืนตำแหน่ง จึงเท่ากับเป็นการ “หมกเม็ด” สร้างความเสื่อมเสียแก่มหาเถรสมาคมหรือไม่  คิดเอาเอง

มาว่ากันต่อ ข้อความถัดมา “เมื่อเจ้าอาวาสเป็นผู้สั่งพัก เพื่อดำเนินการสอบสวนอธิกรณ์ในการละเมิดจริยาพระสังฆาธิการอย่างร้ายแรง เมื่อมีการตั้งคณะกรรมการดำเนินการสอบสวน และปรากฏว่าผู้ช่วยเจ้าอาวาสทั้ง 7 รูปมีความผิดจริง ก็ต้องรายงานให้มหาเถรสมาคมพิจารณาดำเนินการตามกฎมหาเถรสมาคม เอาแค่นี้ก่อน

ตรงนี้ต่างหาก เป็นอำนาจของมหาเถรสมาคม !!

สิ่งที่ชี้ชัดอีกอย่างคือ มหาเถรสมาคมเชื่อถือตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการสอบสวนอธิกรณ์ว่าพระสังฆาธิการทั้ง 7 รูป มีความผิดจริง และควรต้องรายงานให้มหาเถรสมาคมพิจารณาดำเนินการตามกฎ นี่ย่อมแสดงว่า มีเจตนาหมกเม็ด “ซุกขยะให้พรม” ดองเรื่อง ไม่ยอมนำอธิกรณ์นี้เสนอถึงมหาเถรสมาคม หลังจากดองจนออกรสชาติดีแล้ว ถึงดอดนำเข้าให้ที่ประชุมมหาเถร หวังตบตาให้มีมติคืนตำแหน่ง

แสดงถึงความไม่เคารพต่อองค์กรปกครองสงฆ์สูงสุด และยังกระทำการฝ่าฝืนต่อกฎมหาเถรสมาคม ด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์

ข้อความถัดมา “ผมเองนั่งฟังอยู่และมีความเห็นด้วยกับพระพรหมมุนีและพระพรหมดิลก เพราะเรื่องของความผิดก็คือความผิด เรื่องของความดีก็เป็นเรื่องของความดี พระพรหมเมธี – เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออกน่าจะเข้าใจ ไม่ควรทำเรื่องเช่นนี้ มันทำให้เสียความศักดิ์สิทธิ์ของมหาเถรสมาคม ที่ถือว่าเป็นองค์กรสูงสุดของการบริหารคณะสงฆ์ ถ้ามหาเถรสมาคมทำตัวเป็นไม้หลักปักเลนเช่นนี้ ใครเขาจะเชื่อถือ ไม่ควรทำเรื่องเช่นนี้ เพราะลุแก่อำนาจอคติ มันจะเสียภาพพจน์ของมหาเถรสมาคม เพราะมหาเถรสมาคมรุ่นก่อนท่านทำไว้ดีแล้ว หวังว่าทุกรูปคงจะมีหิริและโอตัปปะอยู่ในใจบ้าง อย่าให้ผมต้องถูกเกลียดชัง เพราะการกระทำของท่านเลยครับ ขอร้อง รักจริงๆ จึงขอเตือน” นี่คือทุกตัวอักษรที่ผู้เขียนมิได้ตัดทอนหรือเติมแต่ง

อ่านแล้ว รู้สึกน้ำตาซึม สำหรับคำขอร้องของพระมหาเถรระดับสูง ที่ขอร้องว่าอย่ากระทำเลย อย่าลุแก่อำนาจ อย่าอคติ น่าจะเข้าใจ น่าจะมีหิริ (ละอายชั่ว) โอตัปปะ (กลัวบาป) โดยเฉพาะคำว่า “อย่าให้ผมต้องถูกเกลียดชัง เพราะการกระทำของท่านเลยครับ ขอร้อง” คำนี้สำหรับพระมหาเถรชั้นสูงสุดขอร้อง แม้ผู้ร้ายใจทมิฬก็ยังต้องชะงักงัน แต่นี่ก็ยังฝืนกระทำอย่างไม่รู้ละอายชั่ว กลัวบาป

คงไม่ต้องกล่าวถึงอีกกระมัง สำหรับการชี้ถูก ชี้ผิดต่อการกรณีฉาว… แต่งตั้งเจ้าคณะจังหวัดฉะเชิงเทรา ก็ในเมื่อระดับบนที่เราก้มกราบกราน ไหว้บูชา ยังกระทำได้ ฝ่าฝืนกฎกติกาทุกอย่างได้ คนหัวดำหัวหงอกระดับล่างอย่างเราๆ คงต้องปล่อยเลยตามเลย สุดแต่เวรแต่กรรมไป

สิทธิเสรีภาพการแสดงออก ก็คงทำได้เท่านี้ และในฐานะพุทธบริษัทสี่ผู้มีหน้าที่ทำนุ บำรุง รักษาพระพุทธศาสนา คงทำการปกปักษ์รักษามหาเถรสมาคม องค์กรบริหารสูงสุดของคณะสงฆ์ไทยได้เพียงเท่านี้.

ต่อจากนี้ก็ต้องรอลุ้นว่า “ผู้ที่ก่อเรื่อง” จะชี้แจงแถลงไขต่อที่ประชุมมหาเถรอย่างไรในวันที่ 31 กรกฎาคม ศกนี้ ไม่ว่าผลออกมาเช่นไร อันตัวเราไม่มีส่วนได้ ส่วนเสีย ไม่เกี่ยวข้องกับขุมมรดกแสนล้านแห่งวัดโสธร แปดริ้ว แต่ประการใด

ห่วงแต่ว่า “แปดริ้วโมเดล” จะเป็นต้นแบบแก่สังฆมณฑล….                                                 

ณ. หนูแก้ว