วันนี้ (17 พ.ค.65) ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม นายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร อายุ 54 ปี นายกสมาคมไวยาวัจกรแห่งประเทศไทย ทนายความกองทัพธรรม เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน เพื่อแจ้งความกล่าวโทษ นายจีรพันธ์ เพชรขาว (หมอปลา) กับพวก กรณีร่วมกันบุกรุกในเวลากลางคืน ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เข้าไปภายในกุฏิของพระวิธี เทพมติ วัดห้วยจระเข้ จ.นครปฐม ร่วมกันกล่าวหาว่า พระวิธี เทพมติ อยู่กับผู้หญิง (สีกา) สองต่อสอง ซึ่งเป็นความเท็จ และได้นำคลิปวีดิโอดังกล่าวไปเผยแพร่ในเพจของนายจีรพันธ์ เพชรขาว (หมอปลา)
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2565 เวลา 20.00 น. พระวิธี เทพมติ อายุ 41 ปี ได้เดินทางไปแจ้งความ กับ ร.ต.อ. ชัยยุทธ อินแสน พนักงานสอบสวนสภ.เมืองนครปฐม ว่าตนเป็นพระลูกวัด จำพรรษาอยู่ที่วัดห้วยจระเข้ กุฏิที่ 7 ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม ได้มีกลุ่มบุคคลบุกเข้ามาภายในกุฏิ ภายหลังทราบชื่อว่า นายจีรพันธ์ เพชรขาว หรือ หมอปลา กับพวกผู้สื่อข่าว ประมาณกว่า 20 คน โดยบุคคลทั้งหมดกล่าวอ้างว่า ได้รับแจ้งมาว่า พระวิธี อยู่กับสีกาภายในกุฏิสองต่อสอง และเมื่อบุคคลทั้งหมดที่นำโดยหมอปลา เข้าไปตรวจสอบในกุฏิกลับพบว่าเป็นชาย แต่มีลักษณะคล้ายผู้หญิง จึงพบว่าไม่เป็นไปตามที่หมอปลากล่าวอ้าง ซึ่งชายดังกล่าวเพียงแต่มาทำความสะอาดกุฏิให้ และขอข้าวไปไว้กิน ทำให้พระวิธีได้รับความอับอายและเสื่อมเสียชื่อเสียง และยังเป็นการบุกรุกในเวลากลางคืน จึงมาแจ้งลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานเพื่อจะได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
นายศุภภัทร์พจน์ ทนายความกองทัพธรรม เปิดเผยว่า การกระทำของนายจีรพันธ์ เพชรขาว น่าจะเป็นความผิดกฎหมายอาญา ดังนี้
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒ ผู้ใดเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น เพื่อถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วน หรือเข้าไปกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของเขาโดยปกติสุข ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา ๓๖๔ ผู้ใดโดยไม่มีเหตุอันสมควร เข้าไปหรือซ่อนตัวอยู่ในเคหสถาน อาคารเก็บรักษาทรัพย์หรือสำนักงานในความครอบครองของผู้อื่น หรือไม่ยอมออกไปจากสถานที่เช่นว่านั้นเมื่อผู้มีสิทธิที่จะห้ามมิให้เข้าไปได้ไล่ให้ออก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๓๖๕ ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา ๓๖๒ มาตรา ๓๖๓ หรือมาตรา ๓๖๔ ได้กระทำ
(๑) โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย
(๒) โดยมีอาวุธหรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป หรือ
(๓) ในเวลากลางคืน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๒๑๐ ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค ๒ นี้ และความผิดนั้นมีกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าเป็นการสมคบเพื่อกระทำความผิด ที่มีระวางโทษถึงประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงสองแสนบาท
พรบ.คอมพิวเตอร์ 2560 มาตรา 14 ผู้ใดกระทําความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
(1) โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทําความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา
(2) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
(3) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา
(4) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได
(5) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (1) (2) (3) หรือ (4)
ถ้าการกระทําความผิดตามวรรคหนึ่ง (1) มิได้กระทําต่อประชาชน แต่เป็นการกระทําต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ผู้กระทํา ผู้เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ดังกล่าวต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้เป็นความผิดอันยอมความได้
พรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ 2505 มาตรา ๔๔ ผู้ใดใส่ความคณะสงฆ์ไทย อันอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียหรือความแตกแยก ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือทั้งปรับทั้งจำ หมวด ๘ เบ็ดเตล็ด มาตรา ๔๕ ให้ถือว่าพระภิกษุซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์และไวยาวัจกร เป็นเจ้าพนักงานตามความในประมวลกฎหมายอาญา
ด้านนายประดับ โพธิกาญจนวัตร ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม(ผอ.พศจ.นครปฐม) กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นผมยังไม่ได้เข้ามารับตำแหน่ง แต่ทราบว่ารุ่งขึ้นตอนเช้าท่านผู้อำนวยการท่านที่แล้วพร้อมเจ้าหน้าที่ ที่รับผิดชอบเมื่อทราบข่าวก็รีบลงพื้นที่เข้าไปดูสถานที่เกิดเหตุและได้สอบถามข้อมูลจากพระคุณท่านและผู้เกี่ยวข้องและได้รายงานสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติไปแล้ว ในส่วนของตนในวันนี้ก็ได้ลงพื้นที่ไปดูข้อมูลเบื้องต้นทั้งหมดที่วัดห้วยจระเข้ ได้พูดคุยกับคณะสงฆ์ในวัดก็ได้ทราบข้อมูลเบื้องต้นทั้งหมดแล้ว และในส่วนของคณะสงฆ์เองท่านก็มีกฎหมายที่เป็นเครื่องมือในการทำงานของเจ้าอาวาสอยู่แล้ว ท่านก็ดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่ ตามกฎหมายของท่าน ในส่วนของสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐมก็จะคอยดูแล ท่านอีกครั้งหนึ่ง คิดว่าจากเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็จะเป็นกรณีตัวอย่าง การที่เราจะอยู่ในสังคมโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับวัด เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ก็ขอร้องทุกฝ่ายว่าการที่เราจะดำเนินการอะไรก็แล้วแต่ ขอให้เป็นไปตามระเบียบกฎเกณฑ์ที่สังคมได้ตราไว้ อย่างเช่น เราเห็นพระหรือใครที่ออกนอกลู่ นอกทางเราก็ช่วยดึงเข้าสู่ระบบ อย่าไปดำเนินการเกินอำนาจหน้าที่ของตัวเอง จะเกิดปัญหากับสังคมได้ นี่ก็เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับอนุชนรุ่นหลัง
“ผมใคร่ที่จะขอร้องขอความร่วมมือทุกส่วนว่า กรณีของวัดของพระศาสนาของเราเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ให้คิดให้มากๆ ในการแก้ไขปัญหา ณ เวลานี้ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้จับมือกับกอรมน. และกอรมน .ในจังหวัด เพื่อที่จะช่วยกันดูแลคุ้มครองพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นสถาบันหลักของชาติให้มีความมั่นคงและเป็นหลักของชาติของเราต่อไป จึงขอร้องทุกภาคส่วนว่า เรามาร่วมมือกันในการที่จะให้การดูแลสนับสนุนให้สถาบันหลักของเรามีความเข้มแข็ง มีความยั่งยืนตลอดไป เป็นที่เชื่อมั่นของสังคมของเราตลอดไป” ผอ.พศจ.นครปฐม กล่าว
*****************************************************************