ประเด็น
ความคืบหน้า วันนี้ (13 ก.ย.62) พระชั้นผู้ใหญ่สายปฏิบัติ (ขอสงวนนาม) ได้ออกมาแสดงโดยธรรมว่า ราชบัณฑิตก็ไม่รู้พระวินัย ยังแยกแยะไม่ออก ระหว่างพระเป็นปกติประสงค์ลาสิกขา กับพระต้องคดีอาญาถึงขั้นปาราชิก เป็นคนละกรณีกัน ที่เขาพูดระเบียบในการลาสิกขานั้น ใช้ในกรณีพระเป็นปกติที่ต้องการลาสิกขา ก็ทำอย่างที่เขาพูดนั้นถูกแล้ว แต่พระที่ต้องคดีเงินทอนวัด เป็นคดีอาญาผิดกฎหมายบ้านเมือง ถ้าผิดกฎหมายก็ทะลุเลยพระวินัยไปแล้ว ถึงขั้นมีคำสั่งศาลออกหมายจับ ถึงขั้นติดคุก แม้ไม่กล่าวคำลาสิกขา แต่การเปลี่ยนเครื่องแต่งกายสวมใส่ชุดนักโทษอยู่ในเรือนจำ ขาดวัตรปฏิบัติ ผลก็คือการสละสมณเพศอยู่ในตัว อีกทั้งยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ตัวเองบริสุทธิ์จากข้อกล่าวหาหรือไม่ เป็นเพียงได้รับประกันให้ปล่อยตัวชั่วคราว แต่ตัวเองย่อมรู้ดีอยู่ว่า เป็นปาราชิกหรือไม่ ภิกษุเป็นปาราชิก ไม่ต้องกล่าวคำลาสิกขาใด ๆ อีกแล้ว การขาดจากความเป็นพระย่อมสมบูรณ์นับจากวันที่ต้องอาบัตินี้
พระชั้นผู้ใหญ่รูปดังกล่าว ยังกล่าวอีกว่า ถ้าสงฆ์ต้องการปกป้องพระธรรมวินัยจริง ก็ควรรอพิสูจน์ให้ได้เสียก่อนว่า พระพ้นมลทินไม่ได้ผิดตามข้อกล่าวหา และในระหว่างจำคุกตนยังคงรักษาวัตรปฏิบัติของพระไว้ได้สมบูรณ์ ถ้าสงฆ์เห็นชอบจึงรับเข้าหมู่ ไม่ใช่เอาตามความเห็นของใครคนหนึ่งอย่างที่เป็นข่าว ถ้าสงฆ์รับเข้าหมู่แล้ว พระถูกศาลตัดสินว่าผิดจริง คงได้ถอดจีวรซ้ำ ๆ ซาก ๆ จะมิเป็นการชื่อว่าสงฆ์ทำความพยายามที่จะปกป้องอลัชชีเองหรอกหรือ สงฆ์อลัชชีจึงคิดปกป้องพระอลัชชีด้วยกัน เรื่องก็เท่านั้นเอง ถ้าสงฆ์คิดจะปกป้องพระธรรมวินัยจริง ก็ควรรอให้คดีความถึงที่สุดเสียก่อน แล้วค่อยมาพิจารณาว่า ยังมีวัตรปฏิบัติของพระหลงเหลืออยู่ควรแก่การกลับมานุ่งห่มจีวรได้หรือไม่ กับการให้เข้าพิธีอุปสมบทเสียใหม่อย่างไหนจะบริสุทธิ์ดีกว่ากัน ถ้าสงฆ์ปรารถนาจะปกป้องพระธรรมวินัยจริง ควรกระทำอย่างที่กล่าวมานี้