แรงใดในโลกเสมอด้วยแรงกรรม ไม่มี

0
1047

แรงใดในโลกเสมอด้วยแรงกรรม ไม่มี

              

เจริญพรญาติโยมผู้อ่านทุกท่าน ญาติโยมทุกท่านน่าจะเคยได้ยินประโยคนี้ขึ้นใจว่า “แรงใดในโลกเสมอด้วยแรงกรรม…ไม่มี” ประโยคนี้เป็นประโยคที่เป็นหัวใจอย่างหนึ่งของพุทธศาสนา เพราะพุทธศาสนาสอนเรื่องกรรมเป็นเรื่องสำคัญ เพราะกรรมคือเครื่องกำหนดหนทางของมนุษย์ ว่าจะไปดีไปร้าย ทั้งดีร้ายในชาตินี้ และชาติต่อ ๆ ไป

กรรมเป็นเหมือนเชื้อเพลิงของสังสารวัฏ ในการทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น คนที่จะตัดเชื้อเพลิงนี้ได้ คือ คนที่รู้ความจริง รู้สัจธรรมของกรรมว่าเป็นอย่างไร ผู้ที่จะรู้เช่นนี้ได้ ก็คือผู้ที่มีสัมมาทิฐิ รู้ว่าโลกนี้เป็นอย่างไร รู้ดี รู้ชั่ว รู้ถูก รู้ผิด วิธีที่จะรู้ ก็คือการศึกษาพระพุทธศาสนาให้เข้าใจถึงหลัก แม้ไม่ต้องรู้ละเอียดแต่ก็ต้องมีสัมมาทิฐิเป็นเบื้องต้น

แม้กรรมจะเป็นเรื่องเบื้องต้น เป็นหลักใหญ่ใจความในพุทธศาสนา แต่ก็เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและเป็นที่เข้าใจผิดอยู่บ่อยครั้ง เพราะหลายคนก็เข้าใจเอาว่า กรรมเป็นของที่แก้ได้ เอากรรมล้างกรรมนั้นได้ แท้ที่จริงแล้วเป็นความเข้าใจผิด กรรมเป็นของแก้ไม่ได้ และไม่มีใครหลุดพ้นกรรมไปได้แม้แต่พระอรหันต์ หรือพระพุทธเจ้าเองก็ตาม

พระพุทธเจ้านั้น แม้ทรงตรัสรู้แล้ว แต่ก็ทรงต้องเผชิญกับวิบากกรรมต่าง ๆ เป็นต้นว่า ถูกผู้ไม่หวังดีอย่างพระเทวทัตกลิ้งหินลงจากภูเขาหวังจะให้ทับพระองค์ ถูกช้างจะเข้ามาทำร้าย หรือโดยท้ายที่สุดคือต้องทรงทรมานจากพระโรคก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ทั้งหมดนี้มีอรรถกถาจารย์อธิบายไว้ว่า ก็ด้วยอำนาจกรรมแต่ชาติปางก่อนที่ยังคงเป็นเศษกรรมตามมาจนถึงชาติสุดท้าย ก่อนจะดับขันธ์ปรินิพพาน

พระอัครสาวกทั้งหลายผู้ได้บรรลุอรหัตตผลก็เช่นกัน พระมหาโมคคัลลานะผู้มีฤทธิ์มาก แม้ได้บรรลุอรหันต์แล้ว แต่เมื่อถึงคราวจะสิ้นสุดอายุ ท่านถูกโจรจ้องจะทำร้าย แต่ท่านก็หนีได้ทุกครั้งไป จนสุดท้ายท่านได้สำรวจตรวจกรรมของท่าน พบว่าท่านมีกรรมที่ติดมาแต่ปางก่อน จะหลบหนีนั้นมิได้ จึงยอมให้โจรทุบ ทุบแล้วสภาพบอบช้ำเต็มที โจรคิดว่าพระโมคคัลลานะตายสมประสงค์แล้วก็นำร่างไปทิ้ง แต่จริง ๆ แล้วยัง ท่านได้ใช้ฤทธิ์ประสานกระดูกแล้วพาร่างไปเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อกราบทูลลา ก่อนจะดับขันธ์ในที่สุด

พระองคุลีมาล จอมโจรกลับใจ เมื่อได้บวชในพุทธศาสนาแล้ว แต่คนก็ยังระแวง เห็นว่ายังเป็นโจรชั่วอยู่ ก็เอาหินขว้างปาใส่จนเลือดอาบได้รับความทุกข์ทรมานเป็นอันมาก พระพุทธองค์ได้แต่ปลอบว่า ขอให้อดทนไว้ นั่นเพราะพระองค์ทรงรู้ดีว่านี่คือกรรมที่ไม่อาจเลี่ยงได้และจำเป็นต้องรับ

ฉะนั้น เรื่องกรรม แก้ไม่ได้

แต่เรื่องกรรม บรรเทากันได้

การบรรเทากรรมนั้นไม่ได้หมายความว่า จะเอากรรมดีไปล้างกรรมชั่ว เหมือนกำจัดกรรมทิ้งไปเลยโดยที่กรรมยังไม่ทันให้ผล อันนี้ไม่ได้ แต่การทำกรรมดีย่อมชั่วบรรเทาผลแห่งกรรมชั่วที่มีมา อย่างน้อยที่สุด ก็ ณ ขณะปัจจุบัน

เพราะ ผลของกรรมดีอันง่ายที่สุด คือ เกิดความสบายใจเมื่อได้ทำ

ในขณะที่ผลของกรรมชั่วโดยง่ายที่สุด คือ เกิดความทุกข์ เดือดเนื้อร้อนใจเมื่อได้ทำ

เมื่อกรรมได้ให้ผลแล้ว จนสิ้นเวลาเงื่อนไขจะส่งผลกรรมนั้นแล้ว กรรมนั้นย่อมเป็น “อโหสิกรรม” คือ กรรมเลิกให้ผลแล้ว กรรมได้ให้ผลไปแล้ว ซึ่ง เราสามารถแสดงเจตนาแก่เจ้ากรรมนายเวรแต่ชาติปางไหน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคยลบหลู่ดูหมิ่น หรือคนที่ผูกเวรต่อกัน มีเรื่องแก่กันมาแต่ก่อน เพื่อขอ “อโหสิกรรม” ได้ คือให้ลดโทษ โปรดอดโทษ ให้เลิกจองเวรแล้วแก่กัน เมื่อเลิกจองเวรกันแล้ว กรรมต่อกันก็สิ้นสุดลงไปด้วย

การแสดงเจตนาที่ว่านี้ จะต้องแสดงเจตนาด้วยความจริงใจ นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า การขอขมา เป็นการรู้สำนึกในความผิดบาปพลาดพลั้งที่ตนได้ทำไป รู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีไม่ควร และตั้งมั่นว่า ต่อไปจะไม่ทำสิ่งนั้น ๆ อีก อันนี้จึงได้ชื่อว่าเป็นการขอขมา เมื่อขอขมาแล้ว เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายจะตอบรับหรือไม่ อาตมาไม่อาจจะกล่าวได้ ด้วยเป็นเรื่องอจินไตย พ้นวิสัยจะหยั่งรู้ถึงท่านเหล่านั้น แต่ว่าการขอขมากรรม ก็นับเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะได้แสดงเจตนาว่า ขอขมา และจะไม่ทำผิดทั้งทางกาย วาจา และใจ แก่ผู้หนึ่งผู้ใดอีกแม้แต่เพียงน้อย มิให้ก่อเกิดเป็นเวรกรรมสืบไปในทุกภพทุกชาติ

เหตุนี้เอง วัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม จึงริเริ่มจัดพิธีขอขมากรรมมาเป็นเวลาตั้งแต่สิบปีก่อน เพื่อเปิดโอกาสให้ญาติโยมที่มีเจตจำนงจะขอขมากรรมต่อเจ้ากรรมนายเวร เจ้าเกณฑ์ดวงชะตามาแต่หนหลัง ได้แสดงเจตนาขอขมากรรมนั้น ให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งนั้นได้สดับรับฟัง และให้อภัยไม่ผูกเวรต่อกัน รวมถึงการถอนคำสาบาน ถอนคำสาปแช่ง ซึ่งมักเกิดขึ้นจากอกุศลจิต ให้ไม่มีผลผูกพันแก่ตนอีกต่อไป

มาจนถึงบัดนี้ อาตมาก็ยังคงจัดพิธีขอขมากรรมอยู่เสมอ เพื่อเปิดโอกาสให้ญาติโยมทั้งหลายได้พิจารณาตนเองเนือง ๆ ถึงกรรมใดอันได้ก่อ และแสดงเจตนาขอขมากรรม ให้เกิดเป็นอโหสิกรรมต่อกันสืบไป อย่างล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน 2566 อาตมาได้จัดพิธีขอขมากรรม ถอนคำสาบาน ถอนคำสาปแช่ง พร้อมด้วยพิธีอธิษฐานจิตปลุกเสกบทสวดทิพย์มนต์ กำไลมหานาคราช แก้วสารพัดนึก และพระพิฆเนศ ลิขิตคเณชา รุ่นนะหน้าทอง ที่วัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม โดยตั้งพิธีมีบายศรีเครื่องบวงสรวงครบตามตำรา บัณฑิตอ่านโองการทำพิธี มีคุณโยมเบญจวรรณ ริทเธอร์ หรือน้องสาวทางธรรมของอาตมา คุณโยมบริพันธ์ ชัยภูมิ และญาติโยมจำนวนมากเข้าร่วมพิธี ในการนี้ได้จัดรำบูชาถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นำโดยนางงามจักรวาล น้ำตาล ชาลิดา และการแสดงโดรนแปรอักษร มีความงดงามเหนือท้องฟ้าวัดไผ่ล้อม เป็นปรากฏการณ์ใหม่

สุดท้ายนี้ ในวาระขึ้นปีใหม่ไทย 2566 อาตมาขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัย คุณพระพุทธเมตตาประทานพร คุณพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูล อตฺตรกฺโข คุณเทพเจ้าน้อยใหญ่ พระพิฆเนศวร ครูบาอาจารย์ทั้งปวง ท้าวเวสสุวรรณกุเวรมหาราช กุมารทองสมบัติ จงดลบันดาลประทานพรทุกท่าน จงมีแต่ความสุขสมความปรารถนา มีชีวิตที่เย็นสบายดุจน้ำเย็นในวันสงกรานต์ มีชื่อเสียงหอมฟุ้งดังกลิ่นน้ำอบ มีความเจริญงอกงามเบ่งบานเหมือนดอกไม้ฤดูร้อน ให้มีแต่คำว่าโชคดี โชคดี โชคดี ตลอดกาลนานเทอญ

 

หลวงพี่น้ำฝน : 18 เมษายน 2566