เสียงธรรมจากดอยแสงธรรม : อาสาฬหบูชารำลึก ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๒

0
1096

เสียงธรรมจากดอยแสงธรรม : อาสาฬหบูชารำลึก ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๒

วันอาสาฬหบูชา ที่กำลังมาถึงนี้ ถือเป็นวันสำคัญยิ่งรองจากวันวิสาขบูชาเลยทีเดียว วันเวลาก็ช่างผ่านไปรวดเร็วนัก วิสาขบูชาล่วงเลยไปได้ไม่นาน ดูราวกับว่า เพิ่งได้เห็นพระพุทธองค์ทรงอุบัติขึ้นในวันนั้น และในวันนี้ก็มาถึงซึ่งมงคลสมัยอาสาฬหปุณณมี วันเพ็ญอาสาฬหมาส อันเป็นวันที่พระธรรมอุบัติขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก

ด้วยพระพุทธองค์ทรงแสดงธัมมจักกัปวัตตนสูตร เป็นปฐมเทศนาเพื่อโปรดปัญจวัคคีย์ทั้งห้า และในครานั้น ก็เป็นเหตุให้พระสงฆ์อุบัติขึ้นพร้อมกันอีก โดยพระอัญญาโกณฑัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุพระโสดาปัตติผล สำเร็จเป็นพระโสดาบันอริยบุคคล เป็นองค์ปฐมสาวกในบวรพระพุทธศาสนา

แม้ไม่ได้เห็นภาพพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมในท่ามกลางแห่งปัญจวัคคีย์ แต่เมื่อหวนรำลึกนึกถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า ไปตามลำพังจิต ก็ยังบังเกิดความปลาบปลื้มปีติปานประหนึ่งว่า น้ำตาจะหลั่งไหลด้วยความซาบซึ้งในพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ

เพราะวันนี้ เป็นวันที่พระรัตนตรัยอุบัติขึ้นครบถ้วนทั้งสามประการนั่นเอง หมายความว่า คุณสมบัติแห่งความเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าได้ถึงกาลอันพร้อมบริบูรณ์แล้ว เพราะการที่พระพุทธองค์ได้ทรงปฏิญาณตนว่า เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้เองชอบนั้น หากพระองค์ยังมิได้ทรงแสดงปฐมเทศนาคราใด และยังมิได้มีปฐมสาวกเป็นสักขีพยานแห่งการตรัสรู้ตามธรรมที่ทรงแสดงนั้นแล้วไซร้ ชื่อว่า ความสมบูรณ์แห่งความเป็นพระพุทธเจ้า ย่อมยังไม่ปรากฏก่อน

ต่อเมื่อพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงปฐมเทศนา และทรงมีสักขีพยานในการตรัสรู้ธรรม มีปฐมสาวกอุบัติขึ้น จึงเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า ธรรมที่ตรัสรู้ คือ อริยสัจสี่ นั้น อันได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ย่อมเป็นของมีอยู่จริง เพราะยังผู้อื่นให้ตรัสรู้ตามได้ด้วย เป็นที่ประจักษ์ชัดต่อสายตาของชาวโลก มิได้ทรงกล่าวธรรมอย่างปราศจากเหตุและผลเป็นเครื่องรองรับ ดังนั้นจึงว่า พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ ย่อมอุบัติขึ้นอย่างพร้อมบริบูรณ์แล้วในวันนี้ อันเป็นวันอาสาฬหปุณณมี ดิถีที่ ๑๕

ในวันอันเป็นมหาอุดมมงคลเช่นนี้ ชาวพุทธทั้งหลายต่างมีจิตใจอันแช่มชื่นเบิกบาน ในมือถือดอกไม้ ธูปเทียน ของหอม และภัตตาหารคาวหวาน ล้วนคัดสรรปรุงแต่งอย่างประณีตบรรจง พร้อมเครื่องไทยทาน มีของใช้อันจำเป็นแก่พระสงฆ์ ไปสู่วัดวาอาวาสที่ตนเลื่อมใสศรัทธา เพื่อน้อมถวายเป็นอามิสบูชาในคุณแห่งพระศรีรัตนตรัย

สายธารแห่งศรัทธาของชาวพุทธในวันนี้ ย่อมหลั่งไหลโปรยปรายดุจหยาดละอองแห่งฝนที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้า ยังแผ่นพื้นพสุธาอันแห้งผากให้ชุ่มฉ่ำเย็น ฉะนั้น ในกาลใดที่ชาวพุทธพร้อมเพรียงกันบำเพ็ญกองการกุศลอันยิ่งใหญ่ ย่อมยังความปลาบปลื้มปีติปรีดาปราโมทย์ให้บังเกิดแก่ปวงเทพดาในสรวงสวรรค์ทุกชั้นฟ้า ต่างแซ่ซร้องสรรเสริญ และเปล่งเสียงสาธุการกัมปนาทกึกก้อง สะเทือนสะท้านบันดาลให้ไตรโลกธาตุต้องหวาดไหว ด้วยอำนาจแห่งบุญกุศลคุณความดีอันยิ่งใหญ่ ที่พวกเราชาวพุทธได้พร้อมใจกันบำเพ็ญเพื่อน้อมถวายเป็นสักการบูชาในคุณแห่งพระรัตนตรัย

ก็ในวันนี้ หากท่านผู้ใดมิได้มีจิตสำนึก น้อมรำลึกนึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกระทำอามิสบูชา ปฏิบัติบูชาตามควรแก่ฐานะและความสามารถของตน ด้วยดวงหฤทัยอันเปี่ยมล้นด้วยศรัทธาอย่างสุดซึ้ง คนผู้นั้นย่อมเป็นผู้มีจิตใจอันหยาบกร้านขลาดเขลา ไม่อาจหาญ ไม่ร่าเริงในสัมมาปฏิบัติ ไม่สมกับที่ได้เกิดเป็นชาวพุทธ ได้พบพระพุทธศาสนาอันล้ำเลิศ แต่กลับมาเมินเฉยปล่อยปละละเลย ให้กาลเวลาผ่านพ้นไปเปล่า ๆ โดยมิอาจถือเอาประโยชน์โสตถิผล สั่งสมบุญกุศลคุณราศีใด ๆ ไว้ได้เลย จัดว่าเป็นความหายนะทางจิตใจอันใหญ่หลวง ถึงขั้นล้มละลายหมดสิ้นอริยทรัพย์ทั้งปวง ขอชาวพุทธจงอย่าได้เป็นเช่นนั้นเลย

ในโอกาสอันเป็นมหาอุดมมงคลอันยิ่งนี้ จงพากันตั้งใจบำเพ็ญกองการกุศลอันประเสริฐไว้ให้เต็มเปี่ยม ในขณะที่ยังพอมีโอกาสทำได้ ก่อนที่ชีวิตอันทรงคุณค่าจะดับดิ้นสิ้นสลายไป

จงสำเหนียกศึกษาไว้เถิดว่า ความตายนั้นย่อมเป็นเงาก้าวเดินติดตามเราไปในที่ทุกสถานตลอดกาลทุกเมื่อ เราอาจกลายเป็นคนตายได้ในพริบตาเดียว เพราะในระหว่างความเป็นกับความตายนั้นอยู่ใกล้ชิดติดพันกันอย่างยิ่ง ทิ้งระยะห่างกันเพียงแค่ลมหายใจเข้ากับลมหายใจออกเท่านั้นเอง เส้นคั่นระหว่างลมหายใจเข้ากับลมหายใจออก ก็คือความตาย เพราะคนตายจะหยุดหายใจไปตลอดกาล

จงรู้ไว้เถิดว่า เมื่อคนเราจะตาย ย่อมตายในขณะปัจจุบันที่ลมหายใจกำลังเข้า ๆ ออก ๆ อยู่นี้เท่านั้น ไม่มีใครไปตายในวันพรุ่งนี้ได้ เพราะวันพรุ่งนี้จริง ๆ มันไม่มี วันพรุ่งนี้มันเป็นเพียงคำพูดสมมติที่จิตคิดปรุงแต่งขึ้น เพื่อสื่อให้รู้ความหมายของเงื่อนเวลาที่ยังมาไม่ถึงเท่านั้น เพื่อประโยชน์ในการกำหนดกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะต้องทำในอนาคตไว้ล่วงหน้าได้

วันพรุ่งนี้จึงเป็นเพียงความคาดหมายของใจไม่ใช่ความจริง ธรรมท่านจึงสอนให้กำหนดดูปัจจุบัน เพราะมีแต่ปัจจุบันเท่านั้นที่กำลังเคลื่อนตัวไปทีละน้อย ๆ ตราบเท่าที่เรายังมีลมหายใจอยู่

ถ้าลมหายใจของเรายังคงอยู่ในปัจจุบัน เรายังมีลมหายใจเข้า ยังมีลมหายใจออก เราก็จะได้เห็นปัจจุบันเคลื่อนตัวไปเรื่อย ๆ วันพรุ่งนี้ก็จะค่อย ๆ เคลื่อนตัวกลายมาเป็นวันนี้ และวันนี้ก็เคลื่อนตัวกลายไปเป็นวันวาน แต่ในความเป็นจริงก็มีแต่ขณะปัจจุบันที่กำลังปรากฏอยู่ แต่คนเราสมมติกันว่า เป็นวันนี้ วันนี้ วันนี้ไปเรื่อย ๆ

ลองคิดดูว่า ถ้าลมหายใจของเราหยุดลงเมื่อใด ไม่มีลมหายใจเข้า ไม่มีลมหายใจออก เราก็กลายเป็นคนตายในพริบตาเดียว ขณะปัจจุบันที่กำลังปรากฏก็ดับพรึ่บลง ร่างกายไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีก เพราะจิตออกจากร่างไปแล้ว ไม่มีวันนี้ ไม่มีวันพรุ่งนี้ ไม่มีเมื่อวาน ไม่มีสมบัติพัสถานใด ๆ หลงเหลืออยู่ให้คนตายได้จับจองเป็นเจ้าของอีกเลย

คนเป็นเท่านั้น จึงยังมีลมหายใจได้เห็นวันนี้อยู่ และมีโอกาสที่จะได้เห็นวันพรุ่งนี้ค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้ามาเป็นวันนี้ พูดง่าย ๆ ก็คือ วันนี้ก็จะถูกแทนที่ด้วยวันพรุ่งนี้ตลอดเวลา ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ เราก็จะมองเห็นวันเวลาเคลื่อนตัวผ่านเราไปอย่างรวดเร็ว วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า พร้อมทั้งเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ประดังกันเข้ามา พัดผันให้จิตใจของเราต้องวิ่งวุ่นไปกับมัน ประสบกับสุขบ้าง ทุกข์บ้าง เฉย ๆ บ้าง เป็นอยู่อย่างนี้

บางครั้งมันทำให้ใจเรารู้สึกเพลิดเพลินไปกับมัน เกิดความหลงใหลมัวเมาในอารมณ์ต่าง ๆ แต่บางคราวก็ทำให้เราต้องเจ็บปวดรวดร้าวแสนทรมาน เกิดความอ่อนเพลียละเหี่ยใจ แต่เราก็ยังคงเต็มใจที่จะวิ่งวุ่นไปกับมัน วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า อย่างไม่มีวันฉุกใจคิดเบื่อหน่ายกันบ้างเลย

ถ้าวันนี้เรายังไม่ตาย ก็ต้องถือว่าโชคดีที่รอดตายไปได้อีกหนึ่งวัน แต่เราจะไม่โชคดีอย่างนี้ตลอดไป วันหนึ่งเราก็ต้องเผชิญกับความตายอย่างแน่นอน ไม่มีอะไรเป็นเครื่องยืนยันว่า เราจะไม่ตายในวันนี้ และไม่มีใครจะรู้ได้ว่า ความตายจะมีในวันพรุ่งนี้ พอจะได้เตรียมตัวตายกันไว้ก่อนได้ทันท่วงที

วันหนึ่ง ๆ สัตว์โลกตายกันวันละเท่าไร? ไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้แน่ ๆ ก็คือ มีสัตว์ตายทุกวัน ทั้งคนและสัตว์ ตายกันเป็นเบือในแต่ละวัน ธรรมท่านจึงสอนมิให้ประมาท ให้เราเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมที่จะตายในทุกลมหายใจเข้าออก ไม่ว่าจะเป็น วันไหน? เวลาไหน? และสถานที่ใด?

ทุกคนจึงควรถามตัวเองว่า เราพร้อมที่จะตายหรือยัง? ถ้ายัง เราเป็นห่วงอะไร? ก็เอาสิ่งนั้นมาพิจารณาเพื่อทำลายความห่วงนั้นเสีย ถ้าเราไม่ทำตัวเองให้พร้อมที่จะตาย ก็ไม่มีใครมาช่วยเตรียมความพร้อมให้กับเราได้ และความตายมันก็ไม่ใจดี รอให้เราพร้อมเสียก่อนค่อยตาย ถึงเวลาเมื่อไร พระยามัจจุราชก็ปลิดชีพเราให้ตายในทันที จะพร้อมหรือไม่พร้อม ก็เป็นอันต้องตาย ตายอย่างไม่มีสิทธิ์ต่อรอง

จะไปขอร้องว่า งานยังยุ่งอยู่ รองานเสร็จก่อนค่อยตายไม่ได้หรือ? เมียกำลังท้องอยู่ รอเมียคลอดลูกก่อนค่อยตายเถอะ ลูกยังเล็กอยู่ รอให้ลูกโตเสียก่อนค่อยตายได้ไหม? มิไยที่จะกราบไหว้วิงวอนขอร้องอย่างไร ก็ไม่มีวันที่จะได้รับการผ่อนผันจากพระยามัจจุราชได้เลย

สุดท้ายทุกคนก็ต้องตายจากของรักของหวงทั้งสิ้นไป ตายอย่างทุกข์ทรมาน ตายด้วยความเป็นห่วงสิ่งนั้น ห่วงสิ่งโน้น และไม่สามารถไขว่คว้าเอาสิ่งใดมาเป็นสมบัติของตัวเองได้เลย แม้ร่างกายอันเป็นที่รักและหวงแหน ก็ถูกเผาทิ้งไปอย่างไม่เหลือซาก

คงเหลือไว้แต่จิตดวงอนาถาท่องเที่ยวไปในภพทั้งสาม เพราะจิตเป็นธาตุอมตะที่ไม่เคยตาย หากจิตใจมิได้มีบุญกุศลหล่อเลี้ยง ก็มีทุคติอบายภูมิเป็นที่ไปเบื้องหน้า หากจิตมีบุญกุศลหล่อเลี้ยง ก็มีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไปเบื้องหน้า สัตว์โลกล้วนเป็นกันอย่างนี้ มีเกิดแล้วก็ต้องมีตาย

ใครจะเชื่อ หรือไม่เชื่อ ก็มิอาจหนีพ้นความเกิดความตายไปได้ เว้นไว้แต่ผู้ที่สั่งสมบุญบารมีไว้แล้วอย่างเต็มเปี่ยม จึงสามารถกำจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไปจากใจได้ ก็จะไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีกเป็นตลอดอนันตกาล

ดังนั้น จึงไม่ควรเอาเวลามาเป็นข้ออ้างขัดขวางการทำดี เวลาจะไปวัด ทำบุญตักบาตร ให้ทานบ้างก็ไม่มีเวลา รักษาศีลก็ไม่มีเวลา นั่งสมาธิภาวนาบ้างแม้เล็กน้อยก็ไม่มีเวลา จะพิจารณาใคร่ครวญอะไร ๆ ให้เป็นอรรถเป็นธรรมเพื่อเอาชนะกิเลสบ้างก็ไม่มีเวลา แต่พอบทจะตายเท่านั้น เวลาไม่รู้มาจากไหน ตายปุ๊บตายปั๊บได้ในทันที

ถ้าใครคิดได้อย่างนี้ เราอาจรู้สึกว่า ลมหายใจของเราพอจะมีคุณค่าขึ้นมาบ้าง เราหายใจทุกวัน ลมหายใจมันก็หมดไป ๆ จึงไม่ควรหายใจทิ้งไปเปล่า ๆ โดยไม่ได้แลกเอาบุญกุศลคุณงามความดีมาเก็บไว้ที่ใจให้เต็มเปี่ยม ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่ เวลายังมีเสมอ และเป็นเวลาที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่งด้วย มีแต่คนตายเท่านั้นที่ไม่มีเวลา เมื่อไรหมดลม เมื่อนั้นก็หมดเวลา

จงรู้ไว้เถิดว่า การเป็นอยู่เพียงวันเดียวแล้วได้ทำความดี ยังมีคุณค่ายิ่งกว่า การเป็นอยู่ตั้งร้อยปี แต่หาคุณงามความดีใด ๆ มิได้เลย เพราะเหตุนั้น จงอย่าได้ประมาทปล่อยเวลาให้หมดสิ้นไปเปล่า ๆ ถ้าเราไม่มีเวลาเหลือให้กับการทำความดีบ้างเลย ก็เท่ากับเราปล่อยเวลาให้หมดสิ้นไปกับการทำความชั่วนั่นเอง คนเป็นยังมีเวลาที่จะทำอะไร ๆ ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ขึ้นอยู่กับว่า เราจะรู้จักใช้เวลาที่มี ทำในสิ่งที่มีคุณค่าแก่ตัวเองหรือไม่? ส่วนคนตายย่อมไม่มีเวลาที่จะทำอะไร ๆ ได้อีกแล้ว ดังนั้น ถ้าจะทำความดีทีไร ก็บอกไม่มีเวลาทุกที มันก็เป็นเสมือนหนึ่ง ทำตัวเราให้กลายเป็นคนตายดี ๆ นี่เอง คือตายจากความดีทุกประเภทก่อน จากนั้นก็รอวันตายจริง ๆ คือตายแบบสิ้นลมส่งกลิ่นเหม็นเน่าตลบอบอวล

ดังนั้น ในโอกาสที่วันอาสาฬหบูชาเวียนมาบรรจบครบ ก็จงเร่งรีบตักตวงบุญกุศลคุณความดีทุกประเภทเอาไว้ให้เต็มกำลังความสามารถของตน จึงสมดังที่ พระพุทธองค์ ทรงตรัสปัจฉิมวาจาว่า “อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ” แปลว่า “ขอท่านทั้งหลาย จงยังประโยชน์ตน และประโยชน์ท่าน ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด”

นั่นก็คือ ให้ทุกท่านจงเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมก่อนที่จะตายจริงนั่นเอง จงอย่าได้สำนึกเสียใจในภายหลังเลยว่า “ความดีอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำ ความดีอย่างโน้นก็ไม่ได้ทำ เพราะถ้าไม่ยอมทำเสียตั้งแต่ตอนที่ยังเป็น ๆ อยู่ ครั้นพอตายแล้ว ก็จะไม่มีโอกาสได้ทำความดีอะไร ๆ ได้อีกเลย”

#ดอยแสงธรรม ๒๕๖๒