เพจเจ้าคุณประสาร ชี้กรณี “โต ซิลลี่ฟูล” วิจารณ์พุทธ นักสอนศาสนาต้องกลับหลังคิดใหม่ คนดีต้องเคารพตนเอง ผู้อื่น ด้าน น.อ.ทองย้อย จี้ผู้นำเลิกสิ่งที่ไม่เป็นธรรม

0
2212

กรณีที่มีการเผยแพร่คลิป นายวีรชน ศรัทธายิ่ง หรือ “โต” อดีตนักร้องนำวง “ซิลลี่ฟูล” ได้จัด รายการโต-ตาล คู่กับพิธีกรอีกคนหนึ่งถึงการตอบคำถามจากทางบ้าน “ทำไมอิสลามไม่มีรูปปั้นของพระเจ้า เหมือนชาวพุทธไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจ” จนกระทั่งเกิดกระแสความไม่พอใจต่อคำพูดดังกล่าวเป็นจำนวนมากนั้น ซึ่งต่อมา นายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี ได้แถลงชี้แจงกรณีดังกล่าวผ่านเพจสำนักจุฬาราชมนตรี และทางทีวีสำนักจุฬาราชมนตรีว่า รู้สึกไม่สบายใจ เนื่องจากมีผู้ที่ตั้งตัวเป็นผู้รู้ศาสนาได้พูดในเชิงบริภาษศาสนาอื่น   ซึ่งตามหลักศาสนาอิสลามห้ามวิจารณ์ผู้ที่นับถือศาสนาอื่น ตามที่บัญญัติไว้ในอัลกุรอาน ดังนั้น จึงอยากฝากเตือนผู้รู้ หรือผู้ที่ทำตัวเป็นผู้รู้ศาสนาที่เป็นนักบรรยาย นักเผยแพร่ให้ระมัดระวังในสิ่งเหล่านี้ว่า จะนำไปสู่ความขัดแย้งทางสังคม และขัดแย้งกับหลักอิสลามที่ห้ามวิจารณ์ศาสนาอื่น  ควรต้องทำด้วยความระมัดระวัง เคารพและให้เกียรติคนอื่น และฝากเตือนนักวิชาการที่พูดผ่านสื่อต่างๆ ต้องระมัดระวัง และปฏิบัติตนตามหลักคำสอนของอัลกุรอาน เพราะคำพูดของท่านเพียงไม่กี่ประโยคนั้น อาจจะนำไปสู่ความสูญเสียในอิสลามและมุสลิมในประเทศไทย จะนำไปสู่ความแตกแยกได้

เมื่อวันที่ 5 เม.ย. เพจพระเมธีธรรมาจารย์ –  เจ้าคุณประสาร ได้เผยแพร่ข้อความ “เราจะได้บทเรียนอะไรเมื่อเกิดการก้าวล่วงศาสนา?” โดยระบุว่า ช่วงสัปดาห์นี้ในแวดวงศาสนาเป็นข่าวใหญ่ ถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์กันกว้างขวาง เกิดกรณีพิพาทของศาสนิกต่างศาสนา เป็นสิ่งที่น่าสนใจ ซึ่งนักการศาสนาทั้งหลายควรศึกษาไว้เพื่อเป็นบทเรียนในอนาคต

ในความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเราควรพินิจพิเคราะห์ด้วยโยนิโสมนสิการและถอดบทเรียน ออกมา1.ด้านปัจเจกบุคคล ในอดีตจนถึงปัจจุบันก็เกิดกรณีปัญหาสาวกต่างศาสนากล่าวร้ายโจมตีกัน ซึ่งมักจะมีแนวคิดไปในแนวทางที่ค่อนข้างจะสุดโต่ง แต่คำถามสำคัญก็คือเมื่อเคร่งในศาสนาแล้วก็แปลว่าต้องเป็นคนดี มีคุณธรรม เพราะเหตุที่ว่าเขาได้เข้าถึงศาสนธรรมในศาสนาของตนอย่างลึกซึ้ง จนได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฎิบัติตนเคร่งครัดตามหลักศาสนา ดังนั้นคุณธรรมที่สำคัญที่ควรจะมีติดตัวอยู่ตลอดเวลาคือจะต้องเป็นคนที่ประครองจิตได้ดี คนที่ประครองจิตได้ดี อธิบายง่ายๆ ก็คือคนดี หรือคนที่จิตใจดีนั่นเอง คนดีหรือคนที่จิตใจดีนั้นตรงกับหลักคำสอนในทุกศาสนา ก็คือคนที่พัฒนาตนเองแล้ว โดยเฉพาะพัฒนาทางด้านจิตใจ เพราะทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี

แล้วคนดีในทุกวันนี้มองเห็นได้หรือไม่ อธิบายง่ายๆโดยไม่จำเป็นต้องแสวงหาศัพท์ทางศาสนามาขยายความก็คือ ต้องรู้จักเคารพตนเอง เคารพผู้อื่น รู้เขารู้เรา ไม่ดูหมิ่นเหยียดหยามคนอื่น นี่เป็นพื้นฐานสุดแล้ว

  1. ในระดับผู้สอน ในทุกศาสนาล้วนมีผู้สอนในศาสนาของตนเอง แต่เรียกให้แตกต่างกันไปเท่านั้นเอง เช่นพระสงฆ์ บาทหลวง ครูสอนศาสนา หรือนักพรต นักบวช เป็นต้น ผู้ที่มีหน้าที่อบรม พร่ำสอนในศาสนาของตน วันนี้ต้องช่วยกันหันหลังกลับมาคิดชนิด 360 องศาเลยทีเดียวว่า ในขณะที่เราพร่ำสอนให้ศาสนิกของตนเองให้เป็นคนดี มีคุณธรรมและยังขยายผลออกไปถึงคนหมู่มาก เพื่อสันติทั้งในระดับปัจเจก สังคม ประเทศชาติและชาวโลก เพราะอะไรจึงยังเกิดเหตุการณ์ เช่นนี้ขึ้น ที่สำคัญคือในวันนี้ผู้เทศน์ ผู้สอน ผู้อบรมทางศาสนาทั้งหลายควรจะหันหน้าเข้าหากันและทบทวนบทเรียนที่ผ่านมาได้หรือยัง
  2. ในระดับสาวก ควรแยกประเด็นให้ชัดเจนว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น ผู้คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะสาวกของแต่ละศาสนาคิดเห็นกันอย่างไร และเกิดผลอะไรขึ้นหลังจากนั้น ทั้งฝ่ายกระทำและฝ่ายผู้ถูกกระทำ และแม้แต่ฝ่ายผู้ถูกกระทำเองก็ต้องทบทวนด้วยว่า เหตุใดจึงถูกพาดพิงเช่นนั้น

ศาสนาทุกศาสนา ศาสดาล้วนสอนให้เป็นคนดี กาลเวลาล่วงไป สาวกในแต่ละศาสนาจะซึมซับเอาคำสอนมาใส่ตัวได้มากน้อยแค่ไหน นี่ต่างห่างคือบทกำหนดสันติในทุกสังคม ทุกระดับชั้น

ขณะเดียวกันอายุและการดำรงมั่นของแต่ละศาสนาก็ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของศาสนิกในแต่ละศาสนาว่าจะเข้มแข็งมั่นคงได้แค่ไหน เพียงไร ท่ามกลางภาวการณ์ที่มีการแข่งขันกันสูงในทุกสรรพสิ่ง ไม่เว้นแม้แต่แวดวงของศาสนา

พระเมธีธรรมาจารย์ เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย 6 เมษายน 2561

ด้าน น.อ.ทองย้อย แสงสินชัย  อดีตผอ. กองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ผู้ประพันธ์กาพย์เห่เรือเฉลิมพระเกียรติ โพสต์แสดงความคิดเห็นในเพจ  Zamar Sib Oon กรณีมหาอภิชาติ ที่รัฐบาลดำเนินการ เด็ดขาด ว่า ในที่สุดเราก็ได้เห็นการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมกันแล้ว แต่เราจะไปถามหา ไปขอ หรือไปบอกให้ผู้บริหารบ้านเมืองทำอย่างนั้นอย่างนี้ คงไม่ได้ผลอะไร เพราะหลักความจริงมีอยู่ว่า วโส อิสฺสริยํ โลเก อำนาจเป็นใหญ่ในโลก

สิ่งที่ทุกคนช่วยกันทำได้โดยไม่ต้องเรียกร้องใครและไม่ต้องรอกันและกัน นั่นคือ ช่วยกันรู้ทัน ช่วยกันบอกกันและกันให้รู้ทัน โดยหวังว่าเมื่อผู้บริหารบ้านเมืองรู้ตัวว่าประชาชนรู้ทัน เขาก็จะละอายแก่ใจ เลิกทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม และแก้ไขให้เกิดความเป็นธรรม

แต่ถ้า-ถึงขนาดผู้บริหารบ้านเมืองไม่ละอายแก่ใจ ทั้งๆ ที่คนทั้งประเทศรู้ทันก็ยังขืนทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ถึงเวลานั้นประชาชนก็มีสิทธิ์ที่จะพูดได้เต็มปากว่า ผู้ที่ไม่ละอายแก่ใจย่อมไม่ควรได้สิทธิ์บริหารบ้านเมือง