เงินทอนวัด ปะทุ เขย่าบัลลังก์มหาเถร

0
1877

“ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟลน” : เขาก็ต้องมีหลักฐานจึงกล้าที่จะกล่าวหา

.ถึงเวลาที่มหาเถรสมาคมต้องแสดงบทบาท ในการปกป้องพระธรรมวินัย เรื่องเงินทอนวัด เราไม่รู้รายละเอียดลึก ๆ ว่าเขาทำกันอย่างไร แต่เมื่อปรากฏข่าวว่า พระผู้ใหญ่ระดับกรรมการ มส.มีเอี่ยว ก็เป็นหน้าที่ของมหาเถรสมาคมที่จะต้องทำความจริงให้ปรากฏ เมื่อพระสงฆ์กระทำผิดกฎหมาย ก็ต้องถูกดำเนินคดีไปตามขบวนการยุติธรรม

.เพราะพระสงฆ์มิใช่อภิสิทธิ์ชนที่จะทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย ถ้าลองว่าได้ทำผิดกฎหมายก็เท่ากับได้เหยียบย่ำทำลายพระธรรมวินัยแหลกละเอียดไปแล้ว เพราะพระธรรมวินัยละเอียดกว่ากฎหมาย หากพระสงฆ์ดำรงตนอยู่ในพระธรรมวินัย ก็ไม่มีทางที่จะไปกระทำผิดกฎหมายได้อย่างเด็ดขาด เว้นไว้แต่จะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือถูกเขากลั่นแกล้งเท่านั้น

.ดังนั้น ถ้าแน่ใจว่า มิได้กระทำความผิดตามข้อกล่าวหา ก็จงหอบเอาพยานหลักฐานไปสู้คดีกันในศาล ความจริงก็หนีความจริงไปไม่พ้น อย่าใช้วิธีการสกปรกให้ลิ่วล้อออกมาโจมตีเจ้าหน้าที่บ้านเมือง จงมีสปิริตเข้าสู่ขบวนการยุติธรรม เพื่อทำความจริงให้ประจักษ์ในสังคม ถ้าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเขากลั่นแกล้งด้วยเรื่องไม่จริง หรือสร้างพยานหลักฐานเท็จ เขาก็มีสิทธิ์ติดคุกเช่นกัน

.“เพชรแท้ย่อมไม่กลัวการเจียระไนจากนายช่างฝีมือดี”

 “ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟลน”

.ดังนั้น ชาวพุทธเราจงอย่าปกป้องคนผิด และอย่าโยนความผิดไปให้ศาสนาอื่น โดยกล่าวหาว่า เป็นแผนทำลายพระพุทธศาสนา อย่างที่พวกชอบเสี้ยมมักพูดกันเพื่อให้ชาวพุทธไปทะเลาะกับศาสนาอื่น ๆ

.ถ้าพระเถระผู้ใหญ่ไม่ได้กระทำผิดจริง ความดีย่อมจะคุ้มครองท่านเอง แต่ถ้าท่านได้กระทำผิดจริง ก็ถือว่าช่วยกันกำจัดอลัชชีลวงโลกให้พ้นไปจากศาสนา ถือเป็นการดีการชอบแท้

.พระเถรที่น่ากราบน่าไหว้ในประเทศไทย ยังมีอยู่อีกเยอะ ถ้าจะมีพระเถรผู้ใหญ่ทำผิดกฎหมาย ถูกจับสึกเข้าคุกไปสักองค์ สององค์ สามองค์ ก็ไม่พอทำให้ศาสนาต้องล่มจมหรอกนะ การจะผดุงพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่ได้นาน ต้องผดุงด้วยคุณธรรม คือความซื่อสัตย์สุจริต เป็นธรรมเป็นวินัย มิใช่ด้วยการปลิ้นปล้อนโกหกหลอกลวงบิดเบือนความจริง

ชาวพุทธควรรอดูเหตุการณ์ไปก่อน ปล่อยให้เจ้าหน้าที่บ้านเมือง เขาทำหน้าที่ของเขาไป เขาก็ต้องมีหลักฐานจึงกล้าที่จะกล่าวหา อย่าเพิ่งไปตำหนิว่า เขาไม่เคารพพระผู้ใหญ่ ความเคารพก็ส่วนเคารพ แต่จะเอาความเคารพมายกเว้นให้ใครอยู่เหนือกฎหมายไม่ได้

.ก็ต้องยอมรับความจริงว่า ในยุคนี้มีอลัชชีแฝงตัวเข้ามาอยู่ในศาสนามากมายเหลือเกิน มันมากจนเพียงพอที่จะทำลายศรัทธาของชาวพุทธที่มีต่อพระสงฆ์ให้ฉิบหายย่อยยับไปได้เรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับชาวพุทธที่เปี่ยมศรัทธาแต่หาปัญญามิได้ นับถือศาสนาอย่างผิวเผิน แต่มิได้ปฏิบัติตามศาสนา ก็อาจถึงกับเลิกนับถือพระพุทธศาสนา หรือเลิกกราบไหว้พระสงฆ์ไปเลยก็ได้

.ส่วนการจะเป็นปาราชิกหรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง หากโกงเงินแผ่นดินถึงขั้นผิดกฎหมายอาญา ก็ต้องว่ากันไปตามขบวนการทางกฎหมาย ถ้ามีโทษถึงขั้นติดคุก จะเป็นปาราชิกหรือไม่เป็นปาราชิก ก็ต้องถูกให้สึกไปรับโทษตามกฎหมาย

.เรื่องปาราชิกต้องดูที่เจตนาของพระว่า มีเจตนาจะโกงเงินหลวงหรือไม่? หรือทำไปด้วยไม่เจตนา หรือ ด้วยไม่รู้ ก็เป็นธรรมดา คงไม่มีใครโกงแล้วจะมาบอกว่า มีเจตนาจะโกงหรอกนะ! อีกทั้งมูลค่าทรัพย์ที่ต้องอาบัติปาราชิก ต้องมีราคามากกว่า ๕ มาสก คือเทียบเท่าทองคำหนัก ๒๐ เมล็ดข้าวเปลือก ก็น่าจะประมาณทองคำน้ำหนัก ๑ บาท ในปัจจุบันก็คงมีมูลค่าประมาณ ๒๐,๐๐๐ บาท

.ถ้าท่านมีเจตนาจะเอาเงินนั้นมาเป็นของตัวเอง โดยรู้อยู่แก่ใจว่า เงินนั้นมีเจ้าของหวงแหนอยู่ คือ เจ้าของเขาไม่ได้ให้ แต่ยังขืนจะเอามาเป็นของตัว ทันทีที่ทรัพย์นั้นเคลื่อนจากที่ ภิกษุนั้นก็เป็นปาราชิกขาดจากความเป็นพระ ไม่ต้องให้ใครมาจับสึก

.แต่ถ้าไม่มีเจตนาจะเอามาเป็นของตัวเอง ก็ต้องดูว่า ตอนนั้น เขาพูดจาตกลงกันอย่างไร มีเหตุผลพอที่จะรับฟังได้หรือไม่ว่า ไม่มีเจตนาที่จะเอาทรัพย์นั้นมาเป็นของตัวเองจริง ๆ ดังนั้น จะเป็นปาราชิกหรือไม่ จึงอยู่ที่ตัวท่านเองว่า ท่านมีเจตนาจะโกงหรือเปล่า คนอื่นไปตัดสินท่านไม่ได้

…… กราบเคารพในธรรม ครูบาอาจารย์สายกรรมฐานวัดป่า