X

สลากแพงแก้ได้ถ้าใจลุงกล้าพอ “เจิมศักดิ์” ชี้ไม่ใช่แค่เรื่องราคา แต่คือความเหลื่อมล้ำที่รัฐบาลต้องแก้ไข เยาวชนทวงถาม “ไม่ห้ามแล้วหรือซื้อ-ขายสลากกับเด็ก”

วันนี้ (15 ก.ย.63) ที่โรงแรมแมนดาริน สามย่าน มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน จัดเวทีระดมความเห็นหัวข้อ “ตอบโจทย์กองสลาก…หวยแพงแก้ไม่ได้” สืบเนื่องจากการยอมรับความล้มเหลวในการแก้ปัญหาสลากเกินราคาของบอร์ดสลาก จนนำมาสู่การเปิดรับฟังความเห็นประชาชนเพื่อปรับโครงสร้างการกระจายสลาก หวังแก้หวยแพงอีกครั้ง โดยเวทีครั้งนี้มีผู้แทนเครือข่ายเด็กและเยาวชน เครือข่ายองค์กรคุ้มครองผู้บริโภค เครือข่ายผู้ค้าสลาก และนักวิชาการร่วมแสดงความเห็น

ดร.เจิมศักดิ์  ปิ่นทอง นักวิชาการและสื่อมวลชน กล่าวว่า  การแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มจำนวนการพิมพ์สลาก ถือเป็นความเข้าใจกลไกตลาดที่ผิด การคิดว่าเพิ่มปริมาณแล้วจะทำให้ราคาลดลงนั้นใช้ไม่ได้กับกรณีนี้  วิธีแก้ปัญหาที่ตรงจุดที่สุดที่อยากเสนอคือ ต้องเปิดโอกาสให้ผู้ซื้อทุกคนสามารถซื้อสลากแบบเดิมเลขหกหลักนี้โดยตรงกับสำนักงานสลากฯ ผ่านแอปพลิเคชั่น ซึ่งหากทำได้เช่นนี้จะทำให้เกิดการประหยัดต้นทุนค่าบริหารจัดการได้เกือบ 4 หมื่นล้านบาทต่อปี และสามารถนำเงินส่วนนี้กลับคืนให้ผู้ซื้อที่ไม่ถูกสลากผ่านรูปแบบเงินออมในบัญชีกองทุนการออมแห่งชาติ ซึ่งอาจจะให้ได้ถึงใบละ 10 บาท เพื่อเป็นบำนาญในอนาคต เท่ากับว่าช่วยจูงใจให้ประชาชนเกิดการออมเงินไปในตัว ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากในสภาพเศรษฐกิจจากนี้ไป  ปัจจุบันคนไทยซื้อสลากรวมกันเป็นเงินเกือบ 2 แสนล้านบาทต่อปี  ในแต่ละงวดของการออกสลากทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำขึ้นเรื่อย ๆ เกิดความแตกต่างระหว่างรายได้ เพราะมีคนที่ได้กระจุกตัวเพียงคนส่วนน้อย  แต่คนส่วนใหญ่ที่เหลือเสียทั้งหมด

“ฉะนั้น  เรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาสลากแพง แต่คือการแก้ปัญหาการกระจายรายได้ และการส่งเสริมการออม ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลสมควรทำอย่างยิ่ง  ผมไม่อยากโทษว่าที่ผ่านมาเป็นความล้มเหลวของบอร์ด เพราะบอร์ดกลัวจะไปกระทบกลุ่มผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องจึงไม่กล้าทำอะไร แต่ผมอยากทวงสัญญาจากรัฐบาลมากกว่า” ดร.เจิมศักดิ์ กล่าว

นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน กล่าวว่า ข้อเสนอของภาคประชาสังคมต่อการแก้ปัญหาสลากแพงยืนอยู่บนหลักการสำคัญ3ประการ คือ หนึ่ง ประชาชนผู้บริโภคพึงได้รับการคุ้มครองจากรัฐ ในการสามารถซื้อสินค้าและบริการได้ตามราคาที่กฎหมายกำหนด  สอง สลากเป็นการพนันเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดผลกระทบทางสังคม จึงต้องจำกัดปริมาณและการเข้าถึง ฉะนั้น การพิมพ์สลากเพิ่มไม่ใช่การแก้ปัญหา สาม การนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุด และยังสามารถช่วยประหยัดต้นทุน ทำให้มีงบประมาณเหลือจะมาทำประโยชน์แก่สังคมได้ เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายรู้และเข้าใจดี  แต่จะทำหรือไม่ขึ้นอยู่กับความกล้าหาญเท่านั้น

นายพัชรพล แดงสีดา  เครือข่ายเยาวชน กล่าวว่า  เด็กและเยาวชนถูกดึงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการซื้อสลาก และซึมซับความเชื่อนี้มาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ที่ผ่านมามาตรการต่าง ๆ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชนเท่าที่ควร ที่ชัดเจนคือคำเตือนว่า “ไม่ขายไม่ซื้อสลากกับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี” ซึ่งเคยพิมพ์อยู่บนสลากทุกใบ ได้หายไปจากสลากที่ขายในปัจจุบัน นี่น่าจะสะท้อนถึงความไม่จริงใจต่อความรับผิดชอบของตนเอง ซึ่งเป็นการแสดงออกที่เล็กน้อยมาก สำนักงานสลากต้องมีบทบาทในเรื่องเหล่านี้ให้มากขึ้น ไม่ใช่สนใจแต่เรื่องการขายสลากเพียงอย่างเดียว

นายไพบูลย์ กุดเป่งเครือข่ายผู้ค้าสลาก 5 ภาค กล่าวว่า ปัจจุบันการกระจายสลากยังเป็นสองระบบ ได้แก่ระบบโควตาและระบบเสรี โดยราคาของระบบโควตาจะเป็นตัวชี้นำราคาสลากในงวดนั้น เพราะสามารถรวมชุดใหญ่ได้  ดังนั้น สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจึงควรแก้ปัญหาระบบให้จริงจังก่อนที่จะไปคิดเรื่องการพิมพ์สลากเพิ่ม ต้องจัดการสลากเท่าที่มีอยู่ก่อน สกัดโควตาการขายหวยชุดให้น้อยลง ขณะเดียวกันต้องคัดกรองผู้ขายตัวจริง เพราะมีจำนวนมากที่ไม่ได้เป็นผู้ขายจริงแต่เข้ามาขายส่ง ทำให้ผู้ขายมีต้นทุนเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งเพราะต้องซื้อราคาขายส่งมาขายปลีก

ด้านน.ส.บุญยืน ศิริธรรม นายกสมาคมสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค กล่าวว่า ความล้มเหลวในการแก้ปัญหาสลากแพงสะท้อนถึงความไร้น้ำยาของภาครัฐ การพิมพ์สลากเพิ่มมาหลายครั้งทั้งที่รู้ว่าแก้ไขปัญหาไม่ได้ เป็นการทำผิดซ้ำซาก ซึ่งหากแก้ไม่ได้คณะกรรมการก็ควรลาออกทั้งชุด

///////////////////////////////////////////////////////////////////

///////////////////////////////////////////////////////////////////

thairnews: