X

สงฆ์พึงฟัง! อปฺปมาโท อมตํ ปทํ ความไม่ประมาท เป็นทางไม่ตาย

สงฆ์พึงฟัง! อปฺปมาโท อมตํ ปทํ ความไม่ประมาท เป็นทางไม่ตาย

พระท่านบอกมา เวลาอยู่บ้าน ก็อย่าชะล่าใจว่า โควิด-19 มันจะตามไปที่บ้านไม่ได้ เวลาพนักงานขนส่งเอาของไปส่งที่บ้าน หรือบุรุษไปรษณีย์ เอาพัสดุ จดหมายไปส่ง อาจมีไวรัสติดไปด้วย ยิ่งเดี๋ยวนี้เขาใช้ปากกาเซ็นชื่อในมือถือ ก็ต้องระวังให้ดี มันอาจเป็นแหล่งซ่องสุมไวรัสได้ หากพนักงานติดเชื้อไวรัส!!

วิธีป้องกัน ถ้าฉีดพ่นแอลกอฮอล์ 70% ได้ ก็ฉีดพ่นแอลกอฮอล์ที่ของเสียก่อนค่อยจับ หรือใส่ถุงมือพลาสติก หรือจับแล้วก็ล้างมือด้วยเจลฆ่าเชื้อทันที ทำอย่างไรก็ได้ให้แน่ใจว่า มือเราปลอดเชื้อไวรัสตลอดเวลา

สำหรับพระสงฆ์ บางวัดที่มีโยมอุปัฏฐากทำอาหารถวายได้ ก็อาจงดการบิณฑบาต เพื่อความปลอดภัย อันนี้มันก็ง่ายดี แต่มันจะเสียข้อวัตรปฏิบัติไปอย่างไม่มีกำหนด เราเองก็ออกบิณฑบาตทุกวัน ก็ใส่หน้ากากอนามัยไปบิณฑบาต มันก็ปลอดภัยอยู่ ขอให้ผู้ใส่บาตรสวมหน้ากากอนามัยด้วย เพราะวัดเราฝากท้องไว้กับชาวบ้าน

ถ้างดบิณฑบาตมันก็จะเป็นภาระหนักกับญาติโยมที่มาวัดเป็นประจำ ส่วนใหญ่ก็เป็นชาวบ้านที่ทำงานหาเช้ากินค่ำ ถ้ามีญาติโยมอุปัฏฐากฐานะดี ๆ มาทำอาหารถวายทุกวัน อย่างนี้ก็ไม่เป็นไร

ถ้าวัดอยู่ในแหล่งที่มีการแพร่เชื้อ ต้องใส่หน้ากากอนามัยไปด้วย ต้องสังเกตดูโยมที่ใส่บาตร ถ้าเขามีอาการไอหรือจาม ก็อย่าเข้าใกล้ เว้นไว้แต่เขาใส่หน้ากากอนามัย

กลับถึงวัดต้องล้างมือด้วยเจลฆ่าเชื้อ ล้างบาตรด้วยน้ำยาล้างจานที่ฆ่าเชื้อได้ อาหารทุกชนิดให้โยมนำไปอุ่นให้เดือดอีกครั้ง คิดไว้เสมอว่า ไวรัสอาจแฝงมากับอาหารได้

หลังเสร็จภัตกิจ ถ้าไม่จำเป็นขีดสุด จงอย่าออกไปนอกวัด ถ้าจำเป็นจริง ๆ ที่จะต้องออกไปนอกวัด ก็ต้องสวมหน้ากากอนามัย และใช้ความระมัดระวังด้วยสติปัญญาขั้นสูงสุดเท่าที่ตัวเองจะพึงมีได้ ไม่จับต้องวัตถุเสี่ยงทุกชนิด ไม่ควรไปในสถานที่เสี่ยง หรือพบปะกับบุคคลเสี่ยง

ก่อนที่จะจับต้องอะไร หรือจะไปนั่งตรงไหน ก็พิจารณาเสียก่อนว่า มันอาจมีไวรัสอยู่ที่นั่น ไวรัสอาจติดมือ ติดจีวรไปด้วย ควรต้องป้องกันตัวเองอย่างไรในแต่ละสถานการณ์ ถ้าเกิดสงสัยว่าตัวเองจะติดเชื้อ ก็ให้กักกันตัวเองทันที ๑๔ วัน

สำหรับพระป่ากลับถึงวัดก็ซักจีวรด้วยน้ำเคี่ยวแก่นขนุนเดือด ๆ ไวรัสตายเกลี้ยงไม่เหลือแน่ ล้างมือด้วยเจลฆ่าเชื้อ ล้างหน้า สระผมด้วยสบู่ยาฆ่าเชื้อ นี่คือ กิจที่ควรทำตอนนี้

ส่วนบางวัด ก้าวไกลถึงขั้นงดลงอุโบสถ อันนี้เราไม่ลงใจว่า พระวินัยอนุญาตให้ทำได้หรือเปล่า เรามีความรู้น้อย ไม่กล้าฟันธง รู้แต่ว่า เมื่อมีอันตราย ๑๐ อย่างเกิดขึ้น ท่านอนุญาตให้สวดปาติโมกข์ย่อได้แค่นั้น

การลงอุโบสถก็งดเว้นได้เฉพาะภิกษุไข้ ให้นำฉันทะมาบอกแก่สงฆ์ พระที่ต้องสงสัยว่าจะติดเชื้อไวรัส ถือเป็นภิกษุไข้ ไม่ลงฟังปาติโมกข์ได้ ให้บอกบริสุทธิ์แก่สงฆ์ที่ลงฟังปาติโมกข์แล้ว

แต่สงฆ์ที่เป็นปกติดีอยู่ ถ้าอยู่ด้วยกันตั้งแต่ ๔ รูป ขึ้นไป ต้องทำสังฆอุโบสถ คือต้องลงฟังพระปาติโมกข์ ส่วนภิกษุไข้ก็บอกบริสุทธิ์แก่สงฆ์ที่สวดฟังพระปาติโมกข์แล้วนั้น อย่างนี้จึงจัดว่า ได้ทำวินัยกรรมถูกต้องสมบูรณ์ตามพระวินัย

ถ้าพระอยู่ด้วยกันไม่ถึง ๔ รูป เช่น ๓ รูป ๒ รูป ก็ให้ทำคณะอุโบสถ หรือ ถ้าอยู่รูปเดียว ก็ให้ทำปุคคลอุโบสถ แต่ท่านให้ทำอย่างที่ยากไปหาง่าย ถ้าทำสังฆอุโบสถไม่ได้แล้ว จึงลดมาทำอย่างที่ง่าย คือ คณะอุโบสถ หรือ ปุคคลอุโบสถ

เช่น ถ้าพระอยู่ด้วยกันไม่ถึง ๔ รูป ก็ให้ไปในที่อื่นที่รวมกันแล้วได้พระสงฆ์ตั้งแต่ ๔ รูป ขึ้นไป ก็ให้ไปที่นั้น แล้วพึงฟังพระปาติโมกข์ได้ แต่ในกรณีที่เกิดวิกฤติไวรัสแพร่ระบาดเช่นนี้ ควรทำอยู่ที่วัดได้อย่างไรก็ทำไปเถอะ ไม่ควรไปทำที่อื่น

ส่วนวัดที่มีพระสงฆ์ตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป การงดทำอุโบสถหาควรไม่ เราไม่แน่ใจว่ามีพระวินัยอนุญาตไว้ตรงไหน มันควรถือพระวินัยเป็นบรรทัดฐาน ไม่ใช่คิดทำเอาเองตามใจชอบ วัดไหนจะทำอย่างไรก็ได้ เอาวินัยสะดวกเข้าว่า อย่างนั้นก็เท่ากับกลัวไวรัสโควิด-19 มากกว่ากลัวผิดพระวินัย เราไม่เล่นด้วย

พระในวัดที่ไม่ต้องสงสัยว่าจะติดเชื้อไวรัส คือไม่ได้ออกไปนอกวัด ไม่ได้ไปในสถานที่เสี่ยง ไม่ได้พบปะบุคคลเสี่ยง ต้องถือเป็นพระปกติ จะงดลงอุโบสถไม่ได้ หากมีจำนวนตั้งแต่ ๔ รูป ขึ้นไป ถ้ามีผู้สวดปาติโมกข์ได้ ต้องทำสังฆอุโบสถสวดปาติโมกข์

ถ้าไม่มีผู้สวดปาติโมกข์ได้ ก็ต้องนิมนต์พระผู้สวดปาติโมกข์ได้จากที่อื่นมาสวดแทน หรือไปลงอุโบสถกับวัดอื่น หรือแยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่นก่อน อย่าอยู่ด้วยกันให้ครบ ๔ รูป จะใส่หน้ากากสวดปาติโมกข์ ฟังปาติโมกข์ ก็ไม่ผิดพระวินัย

เมื่อพระสงฆ์ทำสังฆอุโบสถเสร็จสิ้นแล้ว จึงให้พระที่ต้องสงสัยว่าอาจจะติดเชื้อไวรัสได้บอกบริสุทธิ์แก่สงฆ์ผู้ได้สวดได้ฟังพระปาติโมกข์แล้วนั้น มิฉะนั้น ก็จะกลายเป็นการทำสังฆกรรมวิบัติหมดทั้งวัด และเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีแก่กุลบุตรผู้มาภายหลัง เป็นเหตุให้เสื่อมเสียทางพระวินัยต่อไปในภายภาคหน้าด้วย

#ดอยแสงธรรม_๒๕๖๓

thairnews: