วันนี้ (31 พ.ค.) เวลา 10.30 น. ที่กองปราบปราม (บก.ป.) อดีตพระราชอุปเสณาภรณ์ (สังคม สังฆะพัฒน์) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ พร้อมทนายความส่วนตัว เข้าพบ พล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง รอง ผบช.ก. เพื่อเข้ามอบตัว หลังจากศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลางออกหมายจับ จนตกเป็นผู้ต้องหาในคดีเงินทอนวัด ในความผิดข้อหาสนับสนุนเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์, ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน หลังจากก่อนหน้านี้ได้มีการประสานติดต่อนัดหมายเข้าพบก่อนหน้านี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันทีที่เดินทางมาถึง ทางด้านอดีตพระราชอุปเสณาภรณ์ ได้เดินขึ้นบันไดด้านข้างอาคาร เช่นเดียวกับอดีตพระพรหมสิทธิ เพื่อเลี่ยงกองทัพสื่อมวลชนจากทุกแขนงที่เฝ้ารอติดตามทำข่าวเป็นจำนวนมาก ซึ่งภายหลังเข้าพบคณะพนักงานสอบสวน ได้มีการถ่ายรูป พิมพ์ลายนิ้วมือ แจ้งข้อกล่าวหา ทำประวัติ จากนั้นแพทย์จาก รพ.ตำรวจ ได้เข้าตรวจร่างกายตามขั้นตอนการสอบสวน ทั้งนี้ในส่วนของการสอบปากคำนั้นเป็นไปอย่างเคร่งเครียด เป็นเวลานานร่วม 5 ชั่วโมง เพื่อซักถามข้อสงสัยในประเด็นต่างๆ โดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับพฤติการณ์และเรื่องราวทางคดี แต่อดีตพระราชอุปเสณาภรณ์ ยังคงยืนกรานให้การปฏิเสธ
จากนั้นในเวลาประมาณ 14.45 น. ทางด้าน พ.ต.อ.ชาคริต พร้อมคณะพนักงานสอบสวน บก.ป. ก็ได้คุมตัวอดีตพระราชอุปเสณาภรณ์ ไปขออำนาจศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางฝากขัง โดยไม่ได้มีการให้ข้อมูลใดๆ แก่สื่อมวลชน
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับมูลเหตุสำคัญที่ทำให้อดีตพระราชอุปเสณาภรณ์ ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับเพิ่มเติมรายใหม่และถูกถอดถอนสมณศักดิ์นั้น เนื่องจากแนวทางการสืบสวนพบหลักฐานว่า อดีตพระราชอุปเสณาภรณ์ ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) กระทำการทุจริตเงินงบประมาณจากพศ. จำนวน 10 ล้านบาท ทั้งนี้เมื่อพศ.ได้มีการโอนจ่ายเงินสนับสนุนโครงการดังกล่าวเข้ามายังวัด ทางอดีตพระราชอุปเสณาภรณ์ และอดีตพระวิจิตรธรรมาภรณ์ หรือเจ้าคุณเทิด ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมตัวไปก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจในการบริหารจัดการเงินของทางวัดกลับได้ร่วมกันทำการยักยอกถ่ายเทเงินจำนวนดังกล่าวโดยมิได้มีการนำเงินเหล่านี้ไปจัดทำโครงการโรงเรียนพระปริยัติธรรมแต่อย่างใด ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าพระทั้ง 2 รูปได้มีการสั่งจ่ายเงินดังกล่าวออกเป็นแคชเชียร์เช็ค แล้วให้นายทวิช สังข์อยู่ เจ้าหน้าที่ของวัดสระเกศฯ ซึ่งถูกจับกุมตัวไปก่อนหน้านี้ ไปทำการเบิกถอนออกมา โดยแต่ละครั้งที่มีการไปถอนเงินออกมาจะทำการถอนครั้งละประมาณ 1.8 ถึง 1.9 ล้านบาท โดยจะไม่ให้เกินครั้งละ 2 ล้านบาท จนกว่าเงินดังกล่าวจะถูกเบิกออกมาจนหมด ซึ่งหลังจากนี้เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจสอบเส้นทางการเงินอย่างละเอียดอีกครั้งเพื่อตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเงินที่ถูกทุจริตทั้งหมดนี้ถูกถ่ายโอนไปที่ใดและถูกนำไปใช้ทำอะไรบ้างต่อไป
