พระท่านลงมาโปรด!! ด่าพระล้อมวงฉันชาบู ปากจะพาไปนรก แสดงธรรมให้รู้ ถ้าฉันเนื้อดิบทำให้สุกเอง เป็นวัตถุแห่งทุกกฎ ห้ามฉัน ให้ระวังอย่าใช้ปากฆ่าตัวเอง

0
9136

พระท่านลงมาโปรด!! ด่าพระล้อมวงฉันชาบู ปากจะพาไปนรก แสดงธรรมให้รู้ ถ้าฉันเนื้อดิบทำให้สุกเอง เป็นวัตถุแห่งทุกกฎ ห้ามฉัน ให้ระวังอย่าใช้ปากฆ่าตัวเอง

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขรมสวนกระแสศรัทธาในช่วงเทศกาลวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา วันที่มีองค์พระรัตนตรัยครบองค์ 3 เป็นภาพที่ปรากฎในโลกโซเชี่ยล โดยผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่ง เผยภาพพระสงฆ์กำลังนั่งฉันสุกี้และชาบู พร้อมคำถามที่ตามมาว่าเหมาะสมหรือไม่ ?

คำถาม เหมาะสมหรือไม่ แทนที่ชาวพุทธหรือชาวอะไรก็ตามควรที่จะเสาะแสวงหาว่าอะไรเป็นอะไร พระสงฆ์ประพฤติผิดพระวินัยหรือไม่ ขาดจากเพศสมณะแล้วหรือยัง ก็กลับพาลด่าพระเจ้าพระสงฆ์พร้อมกับโพสต์-แชร์ต่อๆ กันไปโดยไม่คำนึงถึงกาลเทศะ

โอกาสนี้ มีพระสายกรรมฐานรูปหนึ่ง พระคุณท่านแผ่เมตตาแสดงธรรมถึงผู้ใฝ่รู้ในเรื่องนี้ ขอทุกท่านได้โปรดสดับรับฟัง (อ่าน) ประดับสติปัญญา ดังนี้.

โดยภาพดังกล่าว พระสงฆ์ 5 รูปที่ได้รับการนิมนต์มาบ้านของญาติโยม ก่อนเจ้าของบ้านจะถวายเพลเป็นชาบูชุดใหญ่ ซึ่งเป็นภาพที่อาจไม่คุ้นตากันมากนัก

เห็นภาพข่าวของพระสงฆ์ ๕ รูป นั่งล้อมวงฉันภัตตาหารเพลที่บ้านโยม ตามข่าวว่าโยมจัดถวายชาบูชุดใหญ่ ก็มีคนแสดงความเห็นด่าพระแบบสาดเสียเทเสีย เห็นแล้วก็เศร้าใจจริง ๆ โอ! หนอ ชาวพุทธเรา ทำไมจิตใจจึงต่ำทรามหยาบช้าเอานักหนา ไม่คำนึงถึงเหตุผลผิดถูกดีชั่วบ้างเลย

ไอ้ชาบู! นี่! เราก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรล่ะนะ เพิ่งจะได้ยินจากข่าวนี้นี่แหละ เรื่องไม่น่าเป็นข่าว ก็เอามาทำให้มันเป็นข่าว คนมีปัญญาก็ควรที่จะตรวจตรองดูเหตุผลผิดถูกดีชั่วเสียก่อน ไม่ใช่แค่เห็นข่าว ก็ไปด่าพระเสีย ๆ หาย ๆ

เราจะวิเคราะห์เหตุผลให้ฟัง ฟังแล้วก็สำเหนียกศึกษาจดจำเอาไว้ พวกที่ชอบด่าพระ อย่าเข้าใจว่าเป็นของดี ระวังปากจะพาไปนรก นี่คือความจริง!

ถ้าโยมเขานิมนต์พระว่า ขอนิมนต์พระคุณเจ้าไปฉันสุกี้ หรือชาบู หรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้านิมนต์ออกชื่อโภชนะเช่นนี้ พระรับนิมนต์ไม่ได้ ถ้าขืนรับก็ปรับอาบัติปาจิตตีย์ แต่ถ้าเขาพูดว่า ขอนิมนต์พระคุณเจ้าไปฉันภัตตาหารเพล เช่นนี้ พระรับได้ไม่ผิดพระวินัย

ส่วนเมื่อรับนิมนต์แล้ว ไปถึงที่แล้ว เขาจัดอาหารมาถวาย จะเป็นของเลวหรือของประณีตอย่างไร พระก็ต้องรับฉันไปตามนั้น เพื่อไม่ทำให้ศรัทธาไทยต้องเสียไป จะไปแสดงท่าทีรังเกียจ หรือกระหยิ่มยิ้มย่องในภัตตาหาร ก็หาควรไม่

อาหารที่จะพึงฉันนั้น พระวินัยก็เพียงห้ามเนื้อต้องห้าม ๑๐ อย่าง คือ ๑.เนื้อมนุษย์ ๒.เนื้อช้าง  ๓.เนื้อม้า  ๔.เนื้อสุนัข  ๕.เนื้องู  ๖.เนื้อราชสีห์  ๗.เนื้อหมี  ๘.เนื้อเสือโคร่ง  ๙.เนื้อเสือดาว  ๑๐.เนื้อเสือเหลือง

เนื้อมนุษย์เป็นของห้ามโดยกวดขัน เป็นวัตถุแห่งถุลลัจจัย เลือดก็สงเคราะห์เข้าในเนื้อด้วยเหมือนกัน เนื้ออีก ๙ อย่างนั้น เป็นวัตถุแห่งทุกกฏ เนื้อนอกจากที่ระบุชื่อไว้นี้ เป็นของไม่ห้ามโดยกำเนิด แต่ห้ามโดยความเป็นของดิบ คือยังไม่ทำให้สุกด้วยไฟ และต้องเป็นเนื้ออันบริสุทธิ์โดยส่วน ๓ คือ ภิกษุไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้สงสัยว่า เขาฆ่าเฉพาะตน เช่นนี้ ฉันไม่มีโทษ

หากเป็นเนื้อดิบ และภิกษุหุงต้มให้สุกเอง ชื่อว่า สามะปักกะ แปลว่า ให้สุกเอง เป็นวัตถุแห่งทุกกฏ ห้ามไม่ให้ฉัน แต่จะอุ่นของที่คนอื่นทำสุกแล้ว ท่านอนุญาต

นี่คือพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติเอาไว้ ก็ให้พิจารณาตามนี้ ก่อนที่จะไปด่าพระเสีย ๆ หาย ๆ เราก็ไม่รู้ว่า ไอ้ชาบูที่ว่า มันเป็นเนื้อดิบ หรือสุก ถ้ามันเป็นเนื้อที่สุกแล้ว ถึงแม้จะมีการปรุงใหม่ ก็เท่ากับอุ่นของที่เขาทำสุกไว้แล้ว พระท่านฉันก็ไม่ได้ผิดพระวินัยแต่อย่างใด

ส่วนญาติโยมคงไม่ปัญญาเบาถึงกับเอาเนื้อดิบไปถวายพระหรอกนะ ถ้าเป็นเนื้อดิบเพราะโยมปัญญาเบา พระท่านก็อาจจะรับไว้ แต่ไม่ฉันก็ได้ หรือใช้อุบายพูดให้เขารู้อ้อม ๆ ให้เขาไปทำให้สุกเสียก็ได้ และพระท่านก็ฉันอยู่ในที่ที่เขานิมนต์ ไม่ได้ไปสั่งมาฉันเอง หรือไปนั่งฉันกันเองอยู่ในภัตตาคาร พระท่านก็ไม่ผิดพระวินัยแต่อย่างใด

ถ้าจะผิด ก็ผิดอยู่ที่คนถ่ายรูปพระแล้วเอาไปลงในโซเชียลต่างหาก รวมทั้งสื่อตาบอดที่ไม่รู้จักใช้วิจารณญาณว่าสิ่งใดควรลงแล้วจะเป็นประโยชน์ สิ่งใดไม่ควรลงเพราะจะเกิดโทษ รวมทั้งคนที่เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ด่าพระด้วยถ้อยคำหยาบคาย ล้วนเป็นเครื่องตอกย้ำให้เห็นถึงความเคารพในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ของคนเหล่านั้นว่า มีเพียงเศษเสี้ยวของคนดี หรืออาจจะไม่มีเอาเสียเลย

ถึงแม้ว่าพระท่านอาจจะทำผิดพลาดไปบ้าง ก็เป็นเพียงอาบัติเบา ปลงอาบัติแล้วก็หายไป ไม่ใช่ความผิดร้ายแรงถึงขั้นขาดจากความเป็นพระ แต่คนที่ไปด่าท่าน ก็เหมือนกับไปตัดสินท่านคล้ายกับพระท่านขาดจากความเป็นพระไปแล้ว อันนี้น่ากลัวมาก

คนที่ด่าพระมีศีลกี่ตัว คนที่เป็นชาวพุทธ แต่บอกว่า ไม่เคารพพระ ไม่กราบไหว้พระ ไม่เข้าวัดทำบุญ ก็นับว่าจิตใจมืดบอดมากพออยู่แล้ว ยังมากระทำให้กาย วาจาพิกลพิการเข้าไปอีก ด้วยการแสดงท่าทีรังเกียจเหยียดหยามพระ ด่าพระด้วยถ้อยคำหยาบช้าลามก ทั้ง ๆ ตัวเองมีศีลต่ำกว่าพระ ถือเป็นการทำร้ายตัวเองอย่างอำมหิตเลือดเย็นที่สุด

ถ้าชาวพุทธยังมีสติสัมปชัญญะดีอยู่ จงอย่าได้กระทำอย่างนั้นเลย เพราะมันจะนำไปสู่ความหายนะ พระท่านทำผิด ก็เป็นบาปกรรมของพระที่ท่านต้องรับกรรมอยู่แล้ว คุณไปด่าพระ ก็ไม่ช่วยทำให้พระท่านทำดีขึ้น เพราะการด่าของคุณ แต่กลับจะทำให้ตัวคุณเองฉิบหายนั่นล่ะ แน่นอนนัก พระท่านจะกลับใจทำดี ก็ต้องเป็นเพราะท่านสำนึกผิดด้วยตัวท่านเอง ไม่ใช่เพราะการด่าเสีย ๆ หาย ๆ ของใคร

ถึงแม้พระท่านจะทำผิดจริง แต่ถ้ายังไม่ถึงขั้นปาราชิก ท่านก็ยังคงเป็นพระทรงศีล ๒๒๗ อยู่ แม้จะด่างพร้อยทะลุขาดบ้าง ก็เป็นธรรมดาของคนมีกิเลส ที่อยู่ในประโยคพยายามที่จะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็ต้องมีผิดมีพลาดบ้าง แม้พระพุทธองค์ก็ยังทรงเปิดโอกาสให้พระที่ทำผิดปลงอาบัติแล้วพ้นจากอาบัติได้ เพื่อความสำรวมระวังในกาลต่อไป ไม่ได้ประหารชีวิตเสียเลยทีเดียว เพราะคนมีกิเลส ก็ไม่มีใครจะทำดีได้ตลอดไป หรือจะทำไม่ดีได้ตลอดไป ก็ต้องมีทำดีบ้างทำชั่วบ้างปะปนกันไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เมื่อท่านพยายามแก้ไขตัวเอง วันหนึ่งท่านอาจกลับทำดีได้อยู่ อย่าเพิ่งไปด่าว่าท่านอย่างเลวร้าย

สำหรับฆราวาสที่ศีลกระพร่องกระแพร่ง ยังนอนกอดเมียเสพกามดื่มเหล้าเมายาอยู่ แต่กล้าด่าพระเสีย ๆ หาย ๆ นี่แหละ มันเป็นความผิดมหันต์ โทษของตัวเองกลับมองไม่เห็น ไปเห็นแต่โทษของผู้อื่น

โบราณว่าไว้ “อย่าไปเล่นกับผ้าเหลือง” นั่นล่ะ ของจริง ถ้าไม่อยากลงนรกก็จงรูดซิปปากไว้บ้างแหละดี ทำตัวเองให้ดีกว่าพระให้ได้เสียก่อน จึงค่อยไปด่าว่าพระ เอาปากไปใช้ทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์กว่านี้เถิดนะ อย่าใช้ปากฆ่าตัวเองให้ตายอย่างมืดบอดเลย