กรณีเกิดข้อเรียกร้องทางสื่อโซเชียลว่า “ใครก็ได้ช่วยด้วย” เป็นที่รับรู้กันในแวดวงพุทธศาสนาว่า งานที่มีการนิมนต์พระมาในพิธี หากเป็นงานมงคล พระที่นิมนต์มาจะให้ท่าน “เจริญพระพุทธมนต์” หากเป็นงานอวมงคล พระที่นิมนต์มาจะให้ท่าน “สวดพระพุทธมนต์” ซึ่งก็จำสืบกันมาช้านานแล้ว แต่เมื่อไม่ช้าไม่นานมานี้ มีผู้เชี่ยวชาญงานพิธีท่านหนึ่งบอกว่า งานทำบุญเนื่องในวันคล้ายวันเกิดของพระภิกษุที่มรณภาพไปแล้ว พิธีที่จัดขึ้นให้เรียกว่า “พิธีเจริญพระพุทธมนต์” และไม่ต้องตั้งขันน้ำมนต์ โดยผู้เชี่ยวชาญผู้นั้นก็อ้างอิงจากพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่อีกทีหนึ่ง
ผู้โพสต์ท่านนี้ เขียนอีกว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเท่าไหร่นัก ในความคิดของผม แต่ปัญหามีอยู่ว่า จะทำอย่างไรให้ทุกคนเข้าใจแบบนี้ทั้งหมด จะได้ไม่มีปัญหาตามมาทีหลังว่า “คนนั้นทำไม่ถูก” “หน่วยงานนั้นไม่มีคนมีความรู้”
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยัง ผู้เชี่ยวชาญงานศาสนพิธี (ขอสงวนนาม) โดยได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ควรต้องมีการให้ข้อมูลว่าทำไมถึงต้องใช้คำว่า “เจริญพระพุทธมนต์” หรือ “สวดพระพุทธมนต์” เหตุเพราะเขาไม่ได้ให้เหตุผล ความจริงเขาจะต้องถามพระผู้ใหญ่รูปนั้นด้วย เพื่อเป็นองค์ความรู้ โดยความเข้าใจและจากการวิเคราะห์ น่าจะได้สื่อกับพระสงฆ์ว่า “จะให้สวดอะไร” จึงมีคำว่า “สวด” และ “เจริญ” เมื่อพระสงฆ์ได้รับฎีกาท่านสามารถรู้ได้ทันที พระสงฆ์ท่านจะได้สวดหรือเจริญให้ตรงกับพิธีนั้น
ในกรณี “งานศพ” สวดประจำคืน หรือ ทำบุญครบ ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน หรือครบรอบวันตาย ต้องสวดมนต์บทต่างๆ เกี่ยวหลักธรรมความเป็นธรรมดาของสรรพสัตว์ เพื่อผู้ฟังได้พิจารณา ซึ่งถือว่า เป็นงานอวมงคล จึงใช้คำว่า “สวด”
สำหรับงานที่เป็น “งานมงคล” ต่าง ๆ รวมทั้งการทำบุญฉลองอัฐิ ทำบุญเนื่องในโอกาสครบรอบอายุวันเกิดของบุคคลที่ตายไปแล้ว พระสงฆ์จะสวดเจ็ดตำนาน ซึ่งในบทต่างๆ นั้น จะเป็นการกล่าวถึงหลักการดำเนินชีวิต หรือสิ่งที่เป็นมงคลของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ถ้าประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมก็จะถึงซึ่งความเจริญ ท่านจึงให้ใช้คำนิมนต์ในฎีกา ว่า “เจริญ”
“เพราะเหตุนี้กระมังครับ จึงให้ใช้คำในฎีกานิมนต์ที่แตกต่างกัน ว่า “นิมนต์” หรือ “เจริญ” เมื่อพระสงฆ์ท่านได้รับฎีกานิมนต์แล้ว ท่านก็สามารถทราบได้ทันทีว่าสวดบทใดบ้าง ไม่ต้องมาถามผู้ปฏิบัติว่าจะให้สวดบทใดเดี๋ยวผิดความประสงค์ ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นครับ” ผู้เชี่ยวชาญงานศาสนพิธี กล่าว