ธรรมะจากหลวงพี่น้ำฝน “บทเรียนที่ข้างเตา”

0
446

“บทเรียนที่ข้างเตา”

เจริญพรญาติโยมผู้อ่านทุกท่าน เป็นเวลากว่า 2 เดือนแล้วที่สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยนั้นเกิดการแพร่ระบาดอย่างหนัก มีรายงานการติดเชื้อต่อวันเพิ่มขึ้นเป็นหลักพันต่อเนื่องทุกวัน และมีจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นทุกวัน แม้จะไม่สูงเท่ากับประเทศเพื่อนบ้านอีกหลายประเทศ แต่ก็สร้างผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตของผู้คน

ทางวัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม โดย กองทุนสวด เผา ฟรี ของทางวัด ได้จัดพิธีฌาปนกิจศพผู้ติดเชื้อมาแล้วกว่า 41 ร่าง บางวันต้องเผาวันละสองราย ทั้งเช้า และบ่าย ได้เห็นความรู้สึกต่าง ๆ นานาของญาติมิตรผู้จากไป ที่ต้องสูญเสียคนที่พวกเขารักอย่างกะทันหัน และไม่ทันได้กล่าวคำอำลา ซ้ำร้ายพวกเขาไม่มีโอกาสได้จัดพิธีศพตามประเพณี ไม่มีโอกาสได้ล่ำลาผู้จากไปเยี่ยงผู้อื่น เป็นภาพที่น่าสะเทือนใจยิ่ง ถึงกระนั้นทางวัดไผ่ล้อมก็พยายามจะจัดทุกอย่างให้สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เงื่อนไขทางด้านสาธารณสุขจะอำนวย ทั้งพระสงฆ์สวดพระอภิธรรม เครื่องไทยธรรม ตลอดจนการฌาปนกิจ การเก็บอัฐิ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ แต่ก็มีญาติมิตรของผู้จากไปหลายท่านได้ทำบุญสมทบทุนกองทุนสวด เผา ฟรี อาตมาก็ขออนุโมทนาแก่ทุกท่านมา ณ ที่นี้

ในช่วงเวลานี้ เป็นช่วงเวลาสำคัญของคนไทยที่จะได้ฉีดวัคซีน เป็นที่น่ายินดีในแง่ที่เวลานี้คนไทยตื่นตัวกับการฉีดวัคซีนมากขึ้น จากตอนแรกที่อาจจะกลัวบ้าง กังวลกับผลข้างเคียงบ้าง แต่วัคซีนก็เป็นหนทางสำคัญที่จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ดังนั้น ใครที่ลงทะเบียนแล้ว ผ่านช่องทางหมอพร้อมหรือช่องทางใด ๆ ก็ตาม ขอให้ไปตามนัด และปฏิบัติตามคำแนะนำก่อนและหลังการฉีดวัคซีน ส่วนใครที่ยังลังเลใจอยู่นั้น อาตมาขอยืนยันว่าจากการที่อาตมาได้ฉีดวัคซีนครบสองเข็มแล้ว อาตมาก็ยังสบายดี ไม่ได้มีผลข้างเคียงร้ายแรงอะไรนอกจากผลข้างเคียงธรรมดาที่เกิดขึ้นได้จากการฉีดวัคซีนทั่วไป เช่น ปวดแขน ง่วงนอน หิวง่าย ขออย่าได้กังวล เราทุกคนจะมีส่วนช่วยสังคมและประเทศชาติ ตลอดจนโลกใบนี้ให้กลับกลายเป็นปกติโดยเร็ว ฉะนั้น ขอให้ไปลงทะเบียนฉีดวัคซีนตามช่องทางที่แต่ละจังหวัดกำหนด เราจะได้ผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ไปด้วยกัน และเมื่อฉีดวัคซีนแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะถอดหน้ากากทิ้งได้เลย การฉีดวัคซีนเป็นการสอนให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายเรารู้จักเชื้อโรค จะได้เข้าจัดการทันท่วงที เมื่อจัดการทันท่วงที ก็จะไม่มีอาการรุนแรง พูดแบบนี้หมายความว่าโอกาสติดเชื้อยังมีอยู่ เพียงแต่ความรุนแรงของอาการจะลดลง ดังนั้น กว่าที่ภูมิคุ้มกันหมู่จะเกิดขึ้นในวงกว้าง เราก็ยังต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคเหมือนเดิม คือ สวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือบ่อย ๆ ลดการอยู่ในสถานที่แออัด การ์ดต้องไม่ตกเช่นเดิม ภารกิจของเราจึงจะสัมฤทธิ์ผล

จากภาพที่อาตมาเห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชวนให้มาพูดคุยกับญาติโยมผู้อ่านในเรื่องที่หลายคนไม่อยากจะคิด นั่นคือ มรณานุสติ

มรณานุสติ เป็นกรรมฐานกองหนึ่งที่หลายคนอาจจะเบือนหน้าหนี เพราะว่าจิตไปนึกถึงว่า ต้องไปดูศพ ไปดูศพเน่า ๆ อืด ๆ มีทั้งหนองทั้งหนอน ไปดูเขาผ่าศพเห็นตับไตไส้พุงของน่าเกลียดน่ากลัว เหล่านี้ก็จัดเป็นมรณานุสติอย่างหนึ่ง เป็นอสุภกรรมฐาน การไปดูซากศพ เขาไปดูเพื่ออะไร เพื่อให้ปลงว่าคนเราก็เท่านี้ เวลามีชีวิตอยู่ก็อย่างหนึ่ง แต่พอตายแล้วก็เป็นเช่นนี้กันทุกรูปทุกนาม ต้องอืดต้องเน่าไปตามสภาพ หรือบางทีผ่าร่างออกมา เห็นเลือด เห็นตับไตไส้พุง กลิ่นต่าง ๆ ที่ไม่น่าดม ชวนให้อ้วก นี่น่ะหรือของที่อยู่ข้างใน ของที่เราทั้งหลายประโคมเอาเครื่องแต่งกาย เครื่องสำอาง น้ำหอมประพรมไปให้ฟุ้ง สุดท้ายมีเพียงนี้หรือ หาความงามไม่ได้เลย แต่สมัยปัจจุบันไม่มีใครทิ้งศพให้เราพิจารณาแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะมรณานุสติไม่ได้ มรณานุสติมีอยู่รอบตัว แม้แต่ในตัวของเราเอง ลองนึกดูสิว่า ถ้าคืนนี้เราหลับไป โดยที่พรุ่งนี้ไม่ได้ตื่นมาอีกเลย เรารู้สึกอย่างไร หรือคนข้าง ๆ เรา ถ้าคืนนี้เขาหลับไป แล้วไม่ตื่นเลย เราจะเผชิญหน้ากับความรู้สึกนี้อย่างไร หรือละเอียดกว่านั้นอีก ถ้าเราเอง หรือคนที่เรารัก หายใจเข้าไปเฮือกหนึ่ง แล้วก็หายใจออก ถ้าเรากลับไม่หายใจเข้าไปอีกล่ะ เราจะรู้สึกนึกคิดอย่างไร เราจะไปดีหรือไปร้าย ความตายอยู่ใกล้ตัวแค่นี้เอง

เราไปงานศพ ไปรดน้ำศพ เดี๋ยวนี้เขามีแต่งหน้าศพ ก็ยังพอทน แต่บางคนถึงแต่งหน้าแล้วแต่ก็ดูซีด หรือบวมตามสภาพ เห็นมือที่ยื่นออกมาจากผ้าคลุม ซีด แข็งทื่อ เห็นเขามัดตราสัง นำลงโลง ไปเห็นเขาเผาศพ สมัยนี้ดีหน่อยที่เขานิยมเผาด้วยเตาแล้ว ก็เลยไม่ได้เห็นศพที่ไหม้ไม่หมดบ้าง หรือศพที่เผาจนเอ็นขาดแล้วก็เด้งดึ๋งขึ้นมาจากเชิงตะกอนบ้าง นึกบ้างหรือไม่ว่า วันหนึ่งเราก็ต้องอยู่ในสภาพนี้ หรือบางทีอาจยิ่งกว่านั้น คือหายไปเลย เป็นจุณ

รูปแยกจากนามเมื่อไหร่ก็ตาย รูปขันธ์ทั้งสี่แยกจากกันก็ช่างง่ายดาย พอธาตุลมไม่มี คือไร้ลมหายใจ ธาตุไฟมอดดับ รูปกับนามก็แยกกันในบัดดล ชีวิตคนเราที่ประกอบไปด้วยรูปกับนาม มันเปราะบางเสียเหลือเกิน นี่แค่ระดับรูปกับนามนะ ยังไม่นับเรื่องการเกิดดับของจิตที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เป็นความตายแบบเรียลไทม์เลยทีเดียว เมื่อเห็นดังนี้แล้ว ควรทำให้เกิดปัญญาขึ้นด้วยการพิจารณาเนือง ๆ ว่า เมื่อความตายเป็นของธรรมดาแล้ว เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ไม่ว่าจะช้าจะเร็ว ควรที่เราจะเร่งสะสมบุญ สะสมความดีไว้ โดยไม่มีคำว่าเร็วเกินไปที่จะทำ ในเมื่อมรณะมันมาได้โดยไม่บอกกล่าว เราจึงไม่ควรปล่อยชีวิตเราให้ผ่านเลยไปอย่างเปล่าประโยชน์ และเมื่อเวลานั้นมาถึง เราจะเดินไปหามันเบื้องหน้าอย่างไม่เกรงกลัว ไม่ทรมาน และไม่พะวักพะวงอันใดกับสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง

ขอเจริญพร

*****************************************************************