ชี้พฤติการณ์บ่อนทำลายพระพุทธศาสนาร้ายแรง ศาลไม่ให้ประกันตัว 6 เเก๊งขนทองลูกน้องอดีตพระอาจารย์คม

0
192

วันนี้ (11 พ.ค.66)  ที่ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมอชอบกลาง พนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม นำตัว  นายบุญส่ง หรืออดีตพระมหาบุญส่ง ผ่านภูวงษ์ อายุ 34 ปีนายบุณยศักดิ์ หรือไอซ์ ภัทรโกศล, นายบุญเหลือ หรือ พระบุญเหลือ โพธิ์ทอง อายุ 37 ปี, นายธนกฤต หรืออดีตพระธนกฤต ยศสุรินทร์ อายุ 34 ปี, นายบัณดิษฐ์ หรืออดีตพระบัณดิษฐ์ ย่อยชา อายุ 38ปี, นายณัฐพัชร์ หรืออดีตพระณัฐพัชร์ หรือเบนซ์ ตั้งใจสนอง อายุ 35 ปี ผู้ต้องหาที่ 1-6  มายื่นคำร้องฝากขังครั้งแรกเป็นเวลา 12 วันต่อศาล

คำร้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า  เมื่อวันที่  5 พ.ค.ที่ผ่านมา  เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ได้ดำเนินคดีกับ นายวุฒิมา หรืออดีตพระวุฒิมา เถาว์หมอ ผู้ต้องหาที่ 2 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน มี หน้าที่ซื้อทำจัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย และเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และดำเนินคดีกับ นายคม หรืออดีต พระคม คงแก้ว ผู้ต้องหาที่ 1 ,น.ส.จุฑาทิพย์ ภูบดีวโรชุพันธุ์ ผู้ต้องหาที่ 3 ในความผิดฐาน เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อทำจัดการหรือรักษา ทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย และเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต หรือรับของโจร กรณีผู้ต้องหาได้ร่วมกันเบียดบังเอาเงินของวัดป่าธรรมคีรีไปเป็นของตนเอง หรือของผู้อื่นโดยทุจริต เป็นเหตุให้วัดป่าธรรมคีรี ได้รับความเสียหายรวมเป็นเงินจำนวน 182,776,733 บาท

ต่อมาวันที่ 1 พ.ค. เวลาประมาณ 13.00 น. นายคม คงแก้ว ก่อนจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ได้สั่งการให้ พระมหาบุญส่ง ผ่านภูวงษ์, พระบุญเหลือ โพธิ์ทองพระบัณดิษฐ์ ย่อยชา ไปเก็บทรัพย์สินของวัดป่าธรรมคีรี ทั้งเงิน สดและทองคำ ที่อยู่ในห้องทำงานของอดีตพระคม และอดีตพระวุฒิมา บรรจุใส่กระเป๋าเดินทางไว้ นำไปซุกซ่อนไว้ตามสถานที่ต่างๆ ภายในวัด และรอให้อดีตพระคม สั่งว่าจะให้นำทรัพย์สินดังกล่าวออกจากวัดเมื่อใด ต่อมาเวลาประมาณ 20.00 น. วันเดียวกัน พระมหาวุฒิมา ได้สั่งให้พระบุญส่ง และพระบัณดิษฐ์ กับพวกขนย้ายทรัพย์สิน และทองคำออกจากกุฏิเจ้าอาวาส เอาไปซุกซ่อนตามที่ต่างๆ เช่นกัน ครั้นพอถึงเวลาประมาณ 02.00น. ของวันที่  2 พ.ค. พระ มหาบุญส่ง ,พระบุญเหลือ พระธนกฤต ยศสุรินทร์, พระบัณดิษฐ์, พระณัฐพัชร์, ตั้งใจสนอง ได้ช่วยกันเก็บรวบรวมทรัพย์สินเป็นเงินสดและทองคำจากห้องทำงานของอดีตพระคม และกุฏิเจ้าอาวาสของพระวุฒิมา บรรจุใส่กระเป๋าเดินทางไว้ และนำไปซุกซ่อนไว้ตามจุดต่างๆ ภายในวัด

ในวันที่ 2 พ.ค.เวลาประมาณ 14.00 น. พระวุฒิมา ได้ลาสิกขา และพ้นจากตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดป่าธรรมคีรี และมีการแต่งตั้ง พระราชวชิราลังการ ฉายา สุทธิญาโร ดำรงตำแหน่ง เป็นรักษาการเจ้าอาวาสวัดป่าธรรมคีรี และมีการจัดให้มีการตรวจสอบทรัพย์สินของวัดโดยเฉพาะทองคำ น้ำหนัก 300 บาท (ราคาประมาณ 9 ล้าน) ซึ่งนายวุฒิมา หรืออดีตพระวุฒิมา ใช้เงินของวัดป่าธรรมคีรีไปซื้อมา และนำไปเก็บไว้ภายในตู้เซฟภายในกุฏิของตนเอง ภายในวัดดังกล่าว ซึ่งต่อมา รักษาการเจ้าอาวาส สั่งห้ามเข้ากุฏิของเจ้าอาวาส ต่อมาในวันที่ 7 พ.ค. เวลาประมาณ ๐๒.๔๐ น. อดีตพระคม ได้ใช้โทรศัพท์ มาหา พระณัฐพัชร์ แต่พระณัฐพัชร์ ไม่ได้รับสาย และต่อมาพระณัฐพัชร์ จึงโทรศัพท์กลับไปที่พบว่าผู้รับสายเป็นเสียงของนายคม คงแก้ว หรืออดีตพระคม พูดว่า ให้บอกพระบุญส่ง และพระบัณดิษฐ์ ว่า ให้เอาของที่ยังอยู่ในวัดออกไปข้างนอกให้หมด และพระสองรูปนี้จะเข้าใจเอง พระพุทธรูปและเทวรูปต่างๆ ที่อยู่ภายในวัด ให้เอาไว้บรรจุในพระอุโบสถเจดีย์ โดยพระพุทธรูปให้บรรจุไว้ด้านบนเจดีย์ ส่วนเทวรูปต่างๆ ให้บรรจุไว้ตามซุ้มประตูโบสถ์ ส่วนทองคำจะแจ้งว่าให้นำไปหล่อพระเมื่อใดนั้น จะแจ้งให้ทราบภายหลัง

จากนั้น พระมหาบุญส่ง ผ่านภูวงษ์ พระบุญเหลือ โพธิ์ทอง พระธนกฤต ยศสุรินทร์ พระบัณดิษฐ์ ย่อยชา พระณัฐพัชร์ ตั้งใจสนอง, นายบุณยศักดิ์ ภัทรโกศล จึงได้ช่วยกันขนย้ายทรัพย์สินเอาไปซุกซ่อนไว้นอกวัด ต่อมาวันที่ 7 พ.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมด้วยรักษาการเจ้าอาวาส จึงได้ร่วมกันทำการตรวจสอบกุฏิของนายวุฒิมา หรืออดีตพระวุฒิมา แต่ผลการตรวจสอบไม่พบทองคำจำนวนดังกล่าว จึงได้สอบถามอดีต พระวุฒิมา อีกครั้งว่านำทองคำไปซุกซ่อนไว้ที่ใด อดีตพระวุฒิมาให้การว่าตนได้สั่งการให้ พระบัณดิษฐ์ ย่อยชา (พระเฉาก๊วย) เป็นคนเก็บรักษาทองคำโดยเป็นผู้ถือกุญแจกุฏิ ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ไปสอบถาม พระบัณดิษฐ์ ย่อยชา (พระเฉาก๊วย) จึงให้การว่า ได้นำทองคำจำนวนดังกล่าวมอบให้นายบุณยศักดิ์ ภัทรโกศล (ไอซ์) ซึ่งเป็นคนขับรถของอดีตพระคม นำไปเก็บรักษาไว้ และได้ทราบว่านอกจากทองคำจำนวนดังกล่าวยังมีทรัพย์สินอื่นของวัดอีกเป็นจำนวนมาก ที่อดีตพระคม ได้สั่งการให้พระมหาบุญส่ง ผ่านภูวงษ์, พระบุญเหลือ โพธิ์ทอง, พระบัณดิษฐ์ ย่อยชา ไปเก็บทรัพย์สินของวัดป่าธรรมคีรี ทั้งเงินสดและทองคำ ที่อยู่ในห้องทำงานของอดีตพระคม และอดีตพระวุฒิมา บรรจุใส่กระเป๋าเดินทางไว้ แจ้งให้นำไปซุกซ่อนไว้ ตามสถานที่ต่างๆ ภายในวัด หลังจากทราบความจริงแล้ว จึงติดตามให้ นายบุณยศักดิ์ ขับรถยนต์ตู้คันข้างต้นกลับมาที่วัด  เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปราม จึงได้ร่วมกันตรวจค้นรถยนต์ตู้ ยี่ห้อโตโยต้า  พบทองคำแท่ง น้ำหนักจำนวน 300 บาท เงินสด 76,051,522 บาท และสิ่งของหรือทรัพย์สินอื่นอีก จำนวน 878 รายการ

นายบุณยศักดิ์ ผู้ต้องหาที่ 2 รับว่า สิ่งของหรือทรัพย์สินดังกล่าว ตนได้ร่วมกันกับพระบัณดิษฐ์ กับพวก ช่วยกันขนย้ายออกจากกุฏิของอดีตพระวุฒิมา และออกจากศาลาจุลานนท์ วัดป่าธรรมคีรี โดยตนทำหน้าที่ขับรถตู้และบรรทุกสิ่งของหรือทรัพย์สินตามรายการดังกล่าวข้างต้นออกไปจากวัดจริง

การกระทำผู้ต้องหาเป็นความผิดฐาน “เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อทำจัดการหรือรักษา ทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย และเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต หรือรับของโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา/ พรบ.ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 มาตรา 86 มาตรา 147 มาตรา 157 และ มาตรา 357 เหตุเกิดที่ วัดป่าธรรมคีรี ตำบลปากช่อง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และที่กองบังคับการปราบปราม แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร หลายท้องที่เกี่ยวพันกัน ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาที่ 1,3,4,5 ให้การรับสารภาพ ส่วนผู้ต้องที่ 2,6 ให้การปฏิเสธ

ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนขอคัดค้านการประกันตัวเนื่องจาก กลุ่มผู้ต้องหาคดีนี้มีพฤติการณ์กระทำความผิดเป็นขบวนการ สร้างศรัทธาให้คนทั่วไปหลงเชื่อเกิดความศรัทธา ได้บริจาคเงินจำนวนมากเข้าบัญชีเงินฝากให้กับวัด แต่ทางกลุ่มผู้ต้องหา ได้ใช้ความเป็นเจ้าอาวาสร่วมกันเบียดบังเอาเงินบริจาคในบัญชีของทางวัดเป็นของตนโดยทุจริต สร้างความเสื่อมเสียกับพุทธศาสนา เกรงว่าจะหลบหนี อีกทั้งกลุ่มต้องหามีพฤติการณ์ยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน เนื่องจากเจ้าอาวาสที่รักษาการเจ้าอาวาสคนปัจจุบันปิดล็อคและประกาศห้ามเข้าไปภายในห้องประจำตำแหน่งเจ้าอาวาส เพื่อรอเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าทำการตรวจสอบ แต่ในระหว่างที่ นายคม คงแก้ว ถูกควบตัวระหว่างการสอบสวน ได้มีการยืมโทรศัพท์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจสิบเวรโทรศัพท์ไปสั่งการให้ ผู้ต้องหาที่ 1 กับพวก ร่วมกันทำการเคลื่อนย้ายทรัพย์สินของ วัด ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่วัดฯ และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการตรวจยึดไว้เป็นพยานหลักฐาน นำออกจากห้องประจำตำแหน่งของอดีตเจ้าอาวาส นำไปซุกซ่อนไว้ตามสถานที่ต่างๆ หลายแห่ง ซึ่งหากผู้ต้องหาที่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวไป เชื่อว่าจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานทำให้ผลกระทบในทางที่เสียหายต่อการสอบสวนดำเนินคดี ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตฝากขังได้

ภายหลังผู้ต้องหาที่ 2 และ 4 ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ความผิดที่ผู้ต้องหาที่ 2 ถูกกล่าวหามีอัตราโทษสูง มีลักษณะกระทำความผิดร่วมกับพระภิกษุในขณะครองสมณเพศอันเป็นที่เคารพและเชื่อถือศรัทธาของประชาชน พฤติการณ์เป็นการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาอย่างร้ายแรง ทั้งมีการตรวจยึดของกลางเป็นเงินสดและทองคำมูลค่าเป็นจำนวนมาก หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาที่ 2 อาจหลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานได้ ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้าน ในชั้นนี้จึงยังไม่สมควรอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาที่ 2 ในระหว่างสอบสวน ให้ยกคำร้อง

ในส่วนผู้ต้องหาที่ 4 พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ความผิดที่ผู้ต้องหาที่ 4 ถูกกล่าวหามีอัตราโทษสูง มีลักษณะกระทำการร่วมกันกระทำความผิดโดยผู้ต้องหาที่ 4 กระทำความผิดในขณะที่ครองสมณเพศอันเป็นที่เคารพและเชื่อถือศรัทธาของประชาชน พฤติการณ์เป็นการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาอย่างร้ายแรง ทั้งมีการตรวจยึดของกลางเป็นเงินสดและทองคำมูลค่าจำนวนมาก หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาที่ 4น่าจะหลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานได้ ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้าน ในชั้นนี้จึงยังไม่สมควรอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาที่ 4 ระหว่างสอบสวน ให้ยกคำร้อง

*****************************************************************