เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2563 นายสิปป์บวร แก้วงาม ผู้ตรวจราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) ในฐานะโฆษกพศ. แถลงภายหลังการประชุมมหาเถรสมาคม(มส.) ครั้งที่ 26/2563 ที่พระตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร ว่า มส.มีมติเห็นชอบบทเทศน์รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ตามที่ได้มีมติมอบให้พระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส กรรมการมส. เป็นผู้แต่ง โดยมส.กำชับให้พศ.เร่งจัดพิมพ์โดยโรงพิมพ์พศ. แล้วเผยแพร่บทเทศน์ดังกล่าวไปทุกจังหวัดทั่วประเทศ ผ่านทุกช่องทาง เนื่องจากจะมีการเริ่มให้พระสงฆ์เทศน์บทนี้ในวันที่ 5 ธ.ค. พร้อมกันทั่วประเทศ จากนั้นให้เทศน์บทนี้ในโอกาสวันสำคัญต่างๆ ทั้งนี้สำหรับบทเทศน์รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มีเนื้อหาหลักคือ ให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ 3 เสาหลักของประเทศต้องมั่นคงอย่างยั่งยืน
นายสิปป์บวร กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้พศ.ในฐานะเลขานุการยังได้รายงานต่อที่ประชุมมส.ถึงความคืบหน้าการดำเนินการกับพระภิกษุสามเณรที่ร่วมชุมนุมทางการเมือง โดยในกรณีของพระสงฆ์ที่มีกลุ่มทางการเมืองช่วยเรี่ยไรเงินเพื่อขอลี้ภัยไปต่างประเทศนั้น ทราบมาว่าเป็นพระสงฆ์วัดหนึ่งในอ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เคยขึ้นเวทีปราศรัย จึงได้ทำหนังสือแจ้งเจ้าอาวาสต้นสังกัดไปแล้ว ซึ่งเจ้าอาวาสได้ทำหนังสือเพื่อเรียกมาว่ากล่าวตักเตือนแล้ว แต่พบว่าพระรูปนี้ได้หนีออกจากวัดไป ทางพศ.จึงมีหนังสือแจ้งเจ้าอาวาสให้พิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ส่วนกรณีที่เจ้าอาวาสวัดดอนไชย จ.พะเยา ได้มีหนังสือถึงสามเณรสหรัฐ สุขคำหล้า ลงวันที่ 12 พ.ย.63 โดยให้กลับมารายงานตัวที่วัดภายใน 7 วันหลังจากได้รับหนังสือเนื่องจากพบว่าเข้าร่วมชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และหน้ามหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา จ.นครปฐมนั้น แต่สามเณรสหรัฐ ไม่ยอมกลับวัด ทางเจ้าอาวาสจึงเห็นว่าไม่อยู่ในโอวาท และมีคำสั่งขับสามเณรสหรัฐพ้นไปจากวัดแล้ว ส่วนพระชิษณุพงษ์ ชยนฺตธารี ที่เจ้าอาวาสวัดเจียงอีศรีมงคลวราราม จ.ศรีสะเกษ มีคำสั่งให้กลับวัด เพราะพบว่าพระชิษณุพงษ์ มีการเข้าร่วมชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และหน้ามหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา จ.นครปฐมนั้น พบว่าพระชิษณุพงษ์ ยอมกลับไปรายงานตัวรับฟังคำตักเตือน แต่หลังจากนั้น พระชิษณุพงษ์ กลับไปขึ้นเวทีปราศรัยที่จ.ศรีสะเกษอีก อย่างไรก็ตามทางเจ้าคณะผู้ปกครองยังให้โอกาสอยู่ เนื่องจากทราบว่ายังอยู่ระหว่างเรียนชั้นอุดมศึกษาปีที่ 3 แต่ก็มีคำสั่งเด็ดขาดห้ามร่วมชุมนุมทางการเมืองอีก หากฝ่าฝืนก็จะมีคำสั่งขับพ้นวัดต่อไป
ทั้งนี้ สำหรับพระภิกษุสามเณรที่โดนคำสั่งขับออกจากวัด และยังหาวัดสังกัดใหม่สังกัดไม่ได้ จะกลายเป็นพระ เณรไร้สังกัด ตามกฎมส.ฉบับที่ 21 ข้อ 3 (2) บัญญัติว่า “ในกรณีพระภิกษุรูปใด ไม่สังกัดอยู่ในวัดใดวัดหนึ่ง หรือไม่มีวัดเป็นที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ให้พระภิกษุผู้ดำรงตำแหน่งปกครองวัด หรือพระภิกษุผู้ดำรงตำแหน่งปกครองคณะสงฆ์ในเขตท้องที่ที่พบพระภิกษุรูปนั้น มีอำนาจหน้าที่วินิจฉัยให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้” ซึ่งหากเจ้าหน้าที่บ้านเมือง หรือพระวินยาธิการ (ตำรวจพระ) เจอตัวที่ใด สามารถนำตัวไปดำเนินการให้ลาสิกขา หรือสึกได้ทันที
